การเจริญสติแบบเคลื่อนไหวนี้ เราเน้นความรู้สึกตัวทั้งกายและจิตไปพร้อมกัน ไม่เน้นหนักไปทางใดทางหนึ่งมากเกินไป
แต่ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกสบายหรือไม่สบาย ก็ให้ตามดูตามรู้แบบสบายๆ ไม่ละเลยการเฝ้าดู เมื่อทุกขเวทนาทางกายเพิ่มมากขึ้น เราพอทนได้ระดับหนึ่งเท่านั้น อย่าฝืนหรือเพ่ง เพราะจิตอาจวิ่งเข้าหาความสงบ แล้วเสพความสงบจนลืมความไม่สบายทางกาย และไม่ต้องการบำบัด จนเรียกว่า เบียดเบียนกาย แต่หลบไปเสพสมาธิภายใน แต่บางครั้งตรงกันข้าม บำบัดกายจนสบายแล้ว จิตเกิดสงบเข้าไปเสพความสงบทางจิตต่ออีก
ดั้งนั้น นักภาวนาเราจะวิ่งกลับไปกลับมาอยู่แค่สองอารมณ์นี้เท่านั้น เรียกว่า นันทิราคะ คือเพลิน จมอยู่ได้ทั้งในเวทนาที่สบายและไม่สบาย
แต่ทางที่ถูก เราควรเฝ้าดูการเปลี่ยนแปลงของกาย และดูความแปรปรวนของการปรุงแต่งของจิต ที่เปลี่ยนเป็นสุขบ้างทุกข์บ้างตลอดเวลา หยาบบ้าง ละเอียดบ้าง
ซึ่งถ้าเรามัวเพลินในสุขในทุกข์ที่เป็นผลของความแปรปรวนทางเวทนา เราก็ไม่พบทางสายกลางของอารมณ์บ่อยๆ วิปัสสนาปัญญาก็ไม่เกิดหรือไม่เข้มแข็ง ก็ยังเป็นสมถะอยู่ดี
ดังนั้น ให้เริ่มตาม
รู้รูปนามให้ชัดไว้เสมอ อย่ายุ่งกับความสงบ หรือไม่สงบมากนัก แต่ให้เห็นเหตุของมันเสมอ เห็นจนชำนาญ แล้ววิปัสสนาญาณจึงมีโอกาสพัฒนาได้ เท่านี้คงเข้าใจนะ
หลวงพ่อมหาดิเรก พุทธยานันโท