Recent Posts

วิธีเดินปัญญาในฌาน


วิธีเดินปัญญาในฌาน

          ก็ดูองค์ฌานนั่นแหละ มีปีติเกิดขึ้น ก็มีสติรู้ทัน ปีติก็ดับ เห็นไหมปีติเกิดได้ ปีติดับได้ ปีติจะเกิด ปีติก็เกิดได้เอง ไม่ใช่สั่งให้เกิด เราแค่ไปรู้ไปเห็น ปีติเกิดแล้วก็ดับ ความสุขก็เด่นชัดขึ้นมา มีสติไปรู้ความสุขแล้วความสุขก็ดับ เกิดอุเบกขา อุเบกขาเกิดแล้ว เรามีสติรู้อุเบกขาไปเรื่อย

          พอจิตมันเริ่มถอนออกจากสมาธิ บางทีก็มีความสุขขึ้นมา บางทีก็มีปีติขึ้นมา เวลาเข้าเวลาออกจากฌาน ไม่จำเป็นต้องเรียงตามฌาน ๑, ๒, ๓, ๔ ถ้าชำนาญจริง จาก ๑ ขึ้นไป ๔ ลงมา ๒ ขึ้นไป ๓ แล้วออกมา ๑ ใหม่ก็ได้ พลิกไปพลิกมาได้ แต่ไม่ว่ามันจะพลิกยังไง องค์ฌานมันไม่เหมือนกัน มันทำให้ฌานแต่และฌานไม่เหมือนกัน

          การที่เรามีสติรู้ทันความเปลี่ยนแปลงขององค์ฌานตัวนี้แหละ เป็นการเดินปัญญาในอัปปนาสมาธิ หรือในฌาน

เดินปัญญาในอุปจารสมาธิ

          การเดินปัญญาอยู่ในฌานต่างกับการเดินปัญญาในอุปจารสมาธินะ ในอุปจารสมาธิจิตมันยังคิดผุดๆ ขึ้นมาอยู่ เราคอยรู้ทันสิ่งที่ผุดขึ้นมา แล้วมันก็หายไป เห็นไหม ทำอานาปานสติแล้วมาเดินปัญญาในสมาธิก็ได้

          ทีนี้ถ้าคนไหนทำอานาปานสติแล้วไม่สามารถเข้าฌานได้จะทำยังไง บารมีไม่ถึง ไม่เคยฝึกฝนมา เข้าฌานไม่ได้ ก็ทำอานาปานสติไป หายใจไปๆ ลมมันตื้น สว่างขึ้นมา เป็นปฏิภาคนิมิต สบาย อย่าตามแสงออกไปเท่านั้นแหละ รู้เนื้อรู้ตัว สบาย จิตมันสงบอยู่นะ แต่มันไม่ได้เกิดปีติ เกิดสุขอะไรขึ้นมา มันมีความสงบในระดับหนึ่ง มันได้อุปจารสมาธิ ตรงอุปจารสมาธิ นิมิตต่างๆ มันเกิดได้ ถ้าหลงนิมิตไปก็เสียเวลา

          ถ้านิมิตเกิดขึ้นมาแล้ว ย้อนกลับมาดูที่จิต นิมิตดับไปแล้วก็หายใจไป ใจสบาย คอยรู้เนื้อรู้ตัวไปเรื่อย อะไรแปลกปลอมเข้ามาก็ให้รู้ทัน นี่ เดินปัญญาอยู่ในอุปจารสมาธิก็ได้

          แต่ถ้าคนไหนชำนาญทั้งฌาน ชำนาญทั้งการดูจิต จะไปเดินปัญญาอยู่ในฌาน

          เห็นไหม ทำอานาปานสติทำได้หลายอย่าง เป็นสมถะแบบเหลวไหลก็ได้ ตึงไป หย่อนไป แล้วก็ฟุ้งซ่านออกไปเลย ทำสมาธิให้เกิดอุปจารสมาธิก็ได้ มีดวงสว่างของปฏิภาคนิมิตเป็นอารมณ์ ตรงนี้นิมิตเกิดได้ อยากรู้อยากเห็นอะไร บางทีจิตมันหลอกเอาก็ได้ จริงบ้าง เท็จบ้าง แต่ตรงที่เคลิ้มๆ ไหลออกไปนั้น เชื่อไม่ได้

          ถ้าไม่หลงตามนิมิต คอยดูสภาวะ ใจมันจะผุดความคิดขึ้นมา เดี๋ยวก็ไหวแวบๆ ขึ้นมา แล้วก็หายไป เราก็แค่รู้อยู่อย่างนี้ เราก็เดินปัญญาอยู่ เราจะเห็นว่าทุกสิ่งเกิด ดับทั้งสิ้น นี่เดินปัญญาอยู่ในอุปจารสมาธิ พวกเราคนไหนทำตรงนี้ได้บ้าง ที่เรานั่งอยู่แล้ว เราเห็นมันไหวๆ แวบๆ ยังไม่ได้เข้าฌานนะ ตรงนี้จะเห็นว่า ทุกอย่างมาแล้วก็ไป มาแล้วก็ไป แต่ถ้าใจไหลตามไป ใช้ไม่ได้ ต้องใจตั้งมั่นอยู่ เราเห็นทุกอย่างมันมาแล้วไป นี่ เดินปัญญาอยู่ในอุปจารสมาธิ

เดินปัญญาในขณิกสมาธิ

          ถ้าทำไม่ได้อีกจะทำยังไง ทำอานาปานสติแล้วเจริญปัญญาไปเลย ไม่ได้เข้าสมาธิ แค่เห็นร่างกาย มันหายใจอยู่ พวกนี้อุปจารสมาธิก็ไม่เข้า อัปปนาสมาธิ คือเข้าฌานก็ไม่เข้า แค่เราเห็นร่างกายหายใจอยู่ ใจเป็นคนดู นี่อานาปานสติอย่างนี้ก็ยังดี อานาปานสติ แบบนี้แหละที่เรียกว่ามีสติอยู่ทุกลมหายใจเข้าออกไม่ใช่มีสติอยู่กับลมหายใจ ถ้ามีสติอยู่กับลมหายใจลมหายใจจะเปลี่ยนเป็นแสงสว่างแล้วเข้าฌานไป ถ้าเข้าฌานไม่ได้ ต้องฝึกให้เกิดมีสติอยู่ทุกลมหายใจเข้าออก

          วิธีฝึกให้มีสติทุกลมหายใจเข้าออก เห็นร่างกายหายใจ ใจเป็นคนดู วิธีฝึกให้ใจเป็นคนดู ขอให้หัดพุทโธไป หัดหายใจไปก็ได้ ใช้ลมหายใจเลยก็ได้ หายใจแล้ว คอยสังเกตว่าร่างกายที่หายใจอยู่ เป็นสิ่งที่ถูกรู้ถูกดู ใช้พุทโธก็ได้ พุทโธไปๆ แล้วก็เห็นว่าพุทโธเป็นสิ่งที่ ถูกรู้ถูกดู ดูท้องพองยุบก็ได้ แล้วเห็นว่าท้องพองยุบ ถูกรู้ถูกดู ดูอย่างนี้ก็ได้ ใจมันจะเป็นผู้รู้ผู้ดูขึ้นมา

          อีกอย่างหนึ่งถ้าแยกอย่างนี้ไม่ออก ให้คอยรู้ทันเวลาจิตหนีไปคิด พุทโธแล้วจิตหนีไปคิด รู้ทัน จิตก็ตั้งมั่นเป็นผู้รู้ผู้ดูขึ้นมา หายใจไป จิตหนีไปคิด รู้ทัน จิตก็ตั้งมั่น เป็นผู้รู้ผู้ดูขึ้นมา ดูท้องพองยุบ จิตหนีไปคิด รู้ทัน จิตก็ตั้งมั่นเป็นผู้รู้ผู้ดูขึ้นมา แต่ต้องไม่ไปเพ่งใส่ลมหายใจ ไม่ไปเพ่งใส่ท้อง ปล่อยให้มันรู้ลมหายใจ รู้ท้องพองยุบอะไรไป พอจิตมันเคลื่อนไป เรารู้ทัน จิตที่เคลื่อน จิตจะตั้งมั่นขึ้นมาเป็นผู้รู้ผู้ดู

          บางคนก็ใช้วิธีนี้แยกกายแยกใจได้ บางคนก็สังเกตดูว่า นี่ก็ถูกรู้ นี่ก็ถูกรู้ ลมหายใจก็ถูกรู้ ร่างกายที่หายใจอยู่ก็เป็นของถูกรู้ อย่างนี้ก็แยกได้ มีหลายอย่าง เห็นไหม กรรมฐานมันหลากหลายมาก

          พอเรามีจิตเป็นผู้รู้ผู้ดูแล้ว เราก็เห็นร่างกายหายใจไปเรื่อย ทำอานาปานสตินี่แหละ ไม่ต้องเข้าฌาน เข้าไม่เป็นก็ไม่ต้องไปกลุ้มใจ อุปจารสมาธิก็ยังไม่ได้ก็ ไม่ต้องกลุ้มใจ เห็นร่างกายหายใจไปเรื่อยๆ ใจเป็นคนดูมันจะเห็นทันทีเลยว่า ร่างกายที่หายใจอยู่ไม่ใช่ตัวเรา

          - ร่างกายที่หายใจเข้าก็ไม่เที่ยง ร่างกายที่หายใจออกก็ไม่เที่ยง เป็นอนิจจัง

          - การหายใจเข้าก็ทนอยู่ได้ไม่นาน การหายใจออกก็ทนอยู่ได้ไม่นาน เป็นทุกขัง

          - ร่างกาย ที่หายใจอยู่เป็นวัตถุธาตุ เป็นก้อนธาตุ เป็นสิ่งที่จิตไปรู้เข้า เป็นแค่วัตถุธาตุเท่านั้น ไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา เป็นแค่ก้อนธาตุ นี่ เห็นอย่างนี้ เขาเรียกว่า เห็นอนัตตา

          เห็นไหม ทำอานาปานสติแล้ว ก็เห็นร่างกายแสดงไตรลักษณ์ นี่เดินปัญญาเลย พวกนี้เป็นแบบสุกขวิปัสสก เป็นพระอรหันต์ก็ไม่มีฤทธิ์มีเดชอะไรกับใครเขา ไม่มีของเล่น ต่างกับพวกที่ไปทางฌาน แต่พวกที่ไปทางฌานบางคนก็ไม่มีของเล่น หากอภิญญาจิตไม่เกิด ต้องสร้างบารมีพิเศษ ตั้งใจอธิษฐานไว้ ทำบุญกับพระพุทธเจ้า ยิ่งหลายๆ องค์ยิ่งดี ยิ่งมีผลมาก อย่างถ้าพวกเราบารมีน้อย แต่อยากเล่นอภิญญานั้น จิตหลอนเสียเป็นส่วนใหญ่ กิเลสหลอกเอา ไม่ใช่อภิญญาจริง

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชโช
ที่มา : หนังสือ อานาปานสติเพื่อเจริญปัญญา หน้า ๑๒ - ๑๗