การเจริญวิปัสสนาที่แท้จริงแล้ว
ไม่มีการหลบเลี่ยงอะไรทั้งหมด
ไม่มีคำบริกรรมอะไรทั้งหมด
เพียงรับรู้ รับทราบ สภาวะที่เกิดขึ้น ด้วยความปล่อยวาง
ด้วยความปกติ วางเฉย
เช่น ตึงก็รับรู้ว่าตึง
รับรู้กายรับรู้ใจ แต่ไม่ฝืนไม่บังคับ
ไม่หลบไม่หนี ไม่ยินดียินร้าย
ก็จะเป็นวิปัสสนาไปในตัว
เรียกว่ามีสติกำหนดดูสภาพธรรม
ความตึง ความแข็ง
ความทุกขเวทนาเล่านั้น
แต่ก็วางเฉยได้
สิ่งเหล่านั้นก็คลี่คลาย
พร้อมด้วยปัญญาที่เกิดขึ้น
คือเห็นความจริงของสิ่งเหล่านั้น
ว่ามีความเปลี่ยนแปลง
มีความเกิด มีความดับ
มีสภาพบังคับบัญชาไม่ได้ ไม่ใช่ตัวตน
บางท่านปฏิบัติไป
ไม่ได้เคร่งเครียดเคร่งตึง
จิตใจมีความสงบดี ดื่มด่ำเป็นสุข
แต่ทำไปแล้วว่างๆ ไม่มีอะไร
ทุกสิ่งทุกอย่างว่างเปล่า
จิตใจสงบเป็นสุข
แต่ก็อยู่อย่างนั้น ไม่ไปไหน
เรียกว่า เกิดสมาธิ เกิดความสงบ
สภาวธรรมต่างๆ มีความละเอียด
ลมหายใจละเอียด
ความรู้สึกทางกายละเอียด
ละเอียดมากๆ ก็จับอะไรไม่ได้
สติระลึกรู้สภาวะไม่ออก
ก็กลายเป็นความว่าง
จิตไปรับรู้อยู่ที่ความว่างเปล่า
ไม่มีอะไรอยู่อย่างนั้น
เป็นสุขอยู่อย่างนั้น
วิปัสสนาก็ไม่ก้าวหน้า
ไปติดอยู่แค่ความสงบความสุข
ไม่เกิดปัญญา ไม่เห็นความเกิดดับ
ไม่เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
เพราะว่าสติไม่ได้รู้อยู่ที่สภาวะ
แต่ไปรู้ที่ความว่างเปล่า
ซึ่งไม่ใช่ปรมัตถธรรม
มันจึงไม่มีการเกิดดับ ให้ดู
จึงไม่เกิดปัญญาหรือวิปัสสนาญาณ
ในขณะที่สงบ มีแต่ความว่างอยู่นั้น
สติก็ต้องกลับระลึกรู้เข้ามาที่จิต
ระลึกเข้ามาที่อาการในจิต
ตัวสติก็เกิดกับจิต
เรียกว่าจิตต้องรู้จิต
จิตก็คือสภาพรู้อารมณ์
ก็คือ รู้ต้องดูตัวรู้
รู้ต้องย้อนมาที่สภาพรู้
คือต้องย้อนมาที่ผู้รู้
ถ้ามันย้อนมาไม่เป็น
มันปรับตัวเองไม่ถูก
มันรู้สึกตัวเองไม่ได้
มันก็ขยายไปรู้แต่ความว่าง
มันก็เลยไม่มีอะไร
ทั้งๆที่ยังมีตตัวดู ตัวรู้ ตัวรู้สึกอยู่
แต่ไม่เห็น
เหมือนตัวเองหาอะไรต่ออะไรอยู่
แต่ไม่เคยหาตัวเอง
ถ้าย้อนรู้เป็นจะพบว่า
มีสภาวะอยู่ตลอดเวลาไม่มีว่างเว้น
มีจิตรับรู้อยู่ตลอด
ตัวสติเป็นตัวระลึก
ตัวสัมปชัญญะเป็นตัวพิจารณา
หรือจะรวมเรียกว่าตัวดู
ตัวดูบอกว่าไม่มีอะไร
แต่ที่จริงก็มีตัวเองอยู่ คือตัวผู้ดู
ก็ต้องดูที่ตัวเอง
ก็เห็นตัวเองมีลักษณะที่ดูแล้วก็หมด
รู้แล้วก็หมด นี่เป็นส่วนสำคัญ
สำหรับนักปฏิบัติวิปัสสนา
ที่จะต้องก้าวเข้ามาจุดนี้ให้เป็น
ก็จะทำให้การปฏิบัตินั้น
ไม่ไปตันอยู่ที่ความว่าง
ความไม่มีอะไร
เพราะวิปัสสนาก็ต้องมีรูปมีนาม
หรือสภาวปรมัตถ์ที่ปรากฏเกิดขึ้นให้รับรู้อยู่ตลอดเวลา
หลวงพ่อสุรศักดิ์ เขมรังสี