มันจะปวดแค่ไหนก็ให้กำหนดปวดไปแค่นั้น เราจะปวดมากแค่ไหนวันข้างหน้ามันจะปวดมากกว่านั้น เมื่อถึงคราวที่ต้องเจ็บไข้ได้ป่วยขนาดไหนเราก็จะสามารถอดทนได้สำคัญที่พองหนอ ยุบหนอ บางคนไม่พอง หายใจยาว ๆ ให้ท้องพองให้ได้
วิธีฝึกให้เคยชินให้นอนหงายลง เอามือประสานบนท้อง แล้วภาวนาพองหนอ ยุบหนอ นาน ๆ เข้าก็จะเคยชินไปเอง พอได้แล้วก็จะคล่อง
ที่ อาตมาบอกให้กำหนดที่ลิ้นปี่ อาตมาได้ประสบการณ์จากตอนที่คอหัก ตอนนั้นจะมีความรู้สึกที่ตรงลิ้นปี่ ส่วนอื่น ๆ ของร่างกายไม่มีความรู้สึกเลย และลมหายใจที่จมูกไม่มี เหมือนถูกฟันคอขาดไปแล้ว เพราะกระดูกข้อที่สามมันหลุด คอก็พับไปแต่หนังมันดึงไว้ เส้นประสาทมันไม่ติดต่อ หัวใจสูบฉีดโลหิตไปเลี้ยงสมองไม่ได้ อาตมารู้สึกถึงความทรมานที่สุด อาตมาจึงหายใจทางสะดือได้
สะดือมีความสำคัญกับการพองหนอยุบหนอมาก สติจะรู้ที่ลิ้นปี่ จะรู้ทุกระยะ ตาลืมขึ้นมามองเห็นเป็นหมอกเต็มไปหมด หูก็ได้ยินแว่ว ๆ คนพูดอยู่ใกล้ ๆ เหมือนพูดอยู่ไกล ๆ แสดงว่าสังขารตายแล้ว เหตุใดอาตมาจึงหายใจทางสะดือได้ บอกไปอย่างนี้ใครเขาจะเชื่อ ถ้าไม่มีประสบการณ์เอง
เหมือนนายแพทย์ที่สิงห์บุรีรู้ว่าอาตมาหายใจทางสะดือเพราะเลือดเต็มจมูก เต็มคอ หายใจคล่องคือพองหนอ ยุบหนอตลอด อาตมาก็ไม่รู้ว่าหายใจทางสะดือ รู้สึกตัวที่ตรงลิ้นปี่ เพราะฉะนั้นคนที่จะตายนั้น พองหนอยุบหนอยังอยู่ สติจะควบคุมจิตอยู่ที่ลิ้นปี่นี้แน่ บางคนบอกว่าตายตั้งแต่หัว หรือตายลงตายขึ้นนั้นไม่จริง และลมหายใจที่จมูกไม่มีกลับไปมีที่สะดือ แต่หัวใจยังไม่หยุดเต้น มันยังสูบฉีดโลหิตไปหล่อเลี้ยงร่างกายได้ แต่ไม่ไปเลี้ยงสมอง เพราะคอหักพับไปแล้ว โลหิตจึงลงไปข้างล่างแล้วไปดันที่สะดือ สะดือจึงหายใจได้
เพราะฉะนั้น พองหนอ ยุบหนอ นั้นแน่นอนที่สุด อาตมาก็สำนึกสมัญญาได้ว่า ลิ้นปี่สำคัญมาก ตาก็มองไม่เห็นและก็ไม่รู้สึกว่าปวด อาตมามีความรู้สึกเมื่อตอนรถเข็นคนไข้ตกร่องประตูทางเข้า ถึงรู้สึกแล้วก็ปวดกันเลย ส่วนหัวนั้นเมื่อตอนที่คอหักพับเลือดไม่ไปเลี้ยงจะมีสีดำทั้งหัว พอเลือดไหลเวียนไปเลี้ยงแล้วกลับขาว
จึงขอให้ท่านทั้งหลายปฏิบัติพองหนอยุบหนอให้เคย พอนอนหลับก็จะพองหนอยุบหนอเอง มีสติอยู่ตลอดเวลาจะไม่ฝันร้าย ถ้าฝันก็จะเป็นเรื่องจริง ลิ้นปี่นี้สำคัญมาก ถ้าเราโกรธอย่าลืมตรงนี้ และคนเรานี้กลิ่นตัวไม่เหมือนกัน ลมหายใจไม่เหมือนกัน อารมณ์เหมือนกันไม่ได้ เพราะว่ากิเลสไม่เท่ากัน ทิฎฐิสามัญญตาไม่เหมือนกันทุกคน หายใจสั้นยาวไม่เหมือนกัน คนมีโทสะจะหายใจสั้นและกระตุกด้วย กลิ่นตัวก็เหม็น และพอเรามาทำกรรมฐานหายใจยาว ๆ กลิ่นตัวจะเปลี่ยน ไม่ใช่กลิ่นเหงื่อ ซึ่งกลิ่นเหงื่อก็มีเหมือนกันทุกคน คนที่กินเจกินแต่ผักกลิ่นตัวจะไม่เหม็น คนที่กินของคาวกลิ่นตัวจะเป็นอีกอย่างหนึ่ง คนที่โมโหร้ายถ้าไม่มานั่งกรรมฐานเลย จะไปกินเลือดกินเนื้อ เป็นโจรปล้นฆ่าคนอื่น เหมือนตัวอย่างโจรที่หนีไปอยู่กลางป่าที่สุพรรณบุรี
ตอนนั้นอาตมาเพิ่งบวชใหม่ ๆ ได้ไปที่บ้านเสือเข้า เป็นบ้านใหญ่โต ภรรยาเขาก็เอาข้าวไปส่ง แต่ไปส่งไม่ได้ เพราะตำรวจล้อมไว้อยู่เป็นเดือน คน ๆ นี้ใครมองหน้าไม่ได้ต้องฆ่าทันที แล้วโจรคนนี้ก็อยู่ในป่าซึ่งมีแต่ผักหญ้าต่าง ๆ พอมืดก็จะออกมาเก็บผักบุ้งไปกิน ข้าวก็ไม่มีกิน กินแต่ผัก ก็อยู่ได้เป็นเดือน เขาก็เล่าให้อาตมาฟังว่า เมื่อก่อนนี้เขาใจดำอำมหิตมาก ตอนที่อยู่ในป่าเขาก็ไม่ได้สวดมนต์ไหว้พระ เขาไม่มีธรรมะ ฆ่าคนตายเป็นจำนวนมาก พอไปอยู่ในป่าไม่ได้กินเนื้อสัตว์เลย กินแต่ผัก ขุดมันนกกินทุกวัน กินผักบุ้งเป็นกำ ๆ ตาที่เคยมองไม่ค่อยเห็นเพราะเป็นต้อก็กลับมองเห็นได้ดี และทำให้อารมณ์ดีได้ ความที่เป็นคนใจดำอำมหิตโหดร้ายก็หายไป เสือคนนี้คือลูกน้องเสือฝ้าย สุพรรณบุรี อาตมาไปบ้านเขามา ตอนนั้นคดีเขาก็หมดแล้วเขาจึงเล่าให้ฟัง พอต่อมาเขาก็บวชเป็นสมภารเจ้าวัด ขณะนี้ตายไปแล้ว
พระพุทธเจ้าสอนให้เราดูตัวเอง ให้ใช้ปัญญาพิจารณาทุกข์ ที่เรามาปฏิบัตินี้ก็เพื่อมาดูตัวเอง เพื่อพัฒนากาย พัฒนาจิต ตั้งสติอารมณ์ การปฏิบัติต้องผ่านความยากลำบาก เพื่อที่จะได้รู้ว่าทุกข์ของเราเป็นเช่นนี้แหละหนอ คนอื่นก็มีทุกข์เหมือนกับเรา คนที่ไม่เคยปฏิบัติกรรมฐานจะไม่เห็นว่าทุกข์เป็นอย่างไร
ผู้ที่ไม่เคยปฏิบัติกรรมฐาน เรียนแต่วิชาการ เรียนแต่ธรรมะอย่างเดียวจะไม่รู้จริง ความรู้จริงก็คือความรู้จากการเจริญกรรมฐาน เมื่อรู้จริงแล้วเราจะได้แก้ไขปัญหาได้
เรามานั่งก็เป็นทุกข์ ปวดเมื่อยทั่วสรรพางค์กาย เราแก้อย่างไร ก็โดยกำหนด ทุกข์หนอ ปวดหนอ แล้วตั้งสติอารมณ์ไว้ เราจะได้รู้ว่ามันทุกข์แค่ไหน เข้าไปถึงจิตใจเราอย่างไร เราแก้ทุกข์ตรงนี้ได้แล้วเราจะรู้ทุกข์ของคนอื่น ถ้าจิตไม่สงบ พลุ่งพล่าน ก็จะไม่เกิดปัญญา
สาเหตุที่จิตไม่สงบมี ๘ ประการ
๑. มีไม่พอ ดิ้นรนตะเกียกตะกาย
๒. เวลาว่างมากเกินไป คิดแต่เรื่องเหลวไหล อย่าอยู่ว่างต้องให้จิตมีงาน คือ เจริญกรรมฐาน จะได้รับผิดชอบหน้าที่การงานที่มีอยู่
๓. ถูกเบียดเบียนจิตใจ
๔. อวัยวะตั้งอยู่ในความไม่ปกติ ธาตุทั้ง ๔ ไม่สมดุล
๕. โรคภัยเบียดเบียน
๖. สิ่งแวดล้อมดึงไปในทางชั่ว
๗. ครอบครัวไม่มีความสุข ทะเลาะวิวาทกันอยู่เสมอ
๘. มัวเมาอบายมุข
นัตถิ สันติปะรัง สุขัง – สุขอื่นยิ่งกว่าความสงบไม่มี
สิ่งที่เราทำอยู่นี้เป็นการทำความสงบ ความสงบเป็นความสุข ที่เราวุ่นวายฟุ้งซ่านเป็นความทุกข์ ทุกข์กายทุกข์ใจ ถ้าจิตสงบลงเมื่อไรกายก็เป็นสุข จิตก็เป็นสุข โรคภัยไข้เจ็บก็หายไปด้วยอย่างน่าอัศจรรย์
เหตุที่จิตไม่เป็นสมาธิมีอยู่ ๗ ประการ
๑.นั่งไม่ถูกวิธี
๒.ไม่กำหนดรู้อารมณ์
๓.จิตวิตกกังวล
๔.มีโรคประจำตัว
๕.ราคะเกิด
๖.โทสะเกิด
๗.อารมณ์มากระทบอย่างแรง จะทำสมาธิไม่ได้เลย ถ้าจิตไม่สงบ
คนเราเลือกเกิดเลือกตายไม่ได้ แต่เลือกสร้างความดีได้ เรามาสร้างความดี โดยเดินจงกรม นั่งกรรมฐาน มาดูตัวเราเอง เพื่อที่จะอ่านตัวออก บอกตัวได้ ใช้ตัวเป็นเกิดปัญญาเอาไปใช้บริหารงานของเราตามหน้าที่และความรับผิดชอบ งานการก็จะเจริญรุ่งเรือง
วิชาทางโลกมีมากมายเรียนไม่รู้จักจบ วิชาทางธรรมเรียนแล้วทำเลยปฏิบัติเลย จนชำนาญ วิชาทางโลกนั้นเราเรียนแล้วก็ช่วยเราให้เป็นสุขไม่ได้ และก็เรียนไม่จบเสียด้วย วิชาทางธรรมเรียนแล้วปฏิบัติ ทำให้ชัดเจนจะพบประสบสุขแล้วชีวิตเราจะเป็นแก่นสาร
ถ้าอาตมาไม่ได้เจริญกรรมฐานมาตั้งแต่บวชใหม่ ๆ คงคอหักตายหรือแขนหักเป็นคนพิการ หรือฟ้าผ่าตายไปแล้ว ธรรมชาติลงโทษที่อาตมาได้สาบานกับยายไว้ เพราะเสียสัจจะ แต่อาตมามีความดี จึงแก้ร้ายกลายเป็นดีได้
เวลาปฏิบัติปวดแทบตาย น้ำตาไหลก็ต้องทนให้ได้ แต่พอเรารู้จริงแล้วมันก็จะไม่มีปัญหาเลย สามารถแก้ปัญหาได้ คนรู้ไม่จริงแก้ปัญหาไม่ได้ ซ้ำร้ายสร้างปัญหาให้ตัวเอง ถ้าเรามีการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ บ้านของเราจะเป็นบ้านแสนสุข
บางครั้งคนเราจิตพลุ่งพล่านฟุ้งซ่าน เพ้อฝันถึงเรื่องต่าง ๆ ที่เราอยากได้ มันก็คลุ้มคลั่งไปตามสภาพของจิต การที่จะทำให้จิตนิ่งและมีสมาธินั้นยาก ต้องตั้งใจฝึกปฏิบัติจึงจะได้ผล อาตมาเคยพูดอยู่เสมอว่า เราจะมีสติอยู่สัก ๕ นาทีก็แสนจะยาก ยากเพราะจิตอยู่กับที่ไม่ได้ มันฟุ้งซ่าน มาทำให้จิตอยู่กับที่ เรื่องเก่าก็มาปรากฏขึ้น มันปรากฏขึ้นมาในขณะที่เราเดินจงกรมแล้วเกิดสมาธิ เรื่องโน้นเรื่องนี้ที่เราเคยลืมไว้ในอดีตมันจะโผล่ขึ้นมาให้เราคิดถึง ถ้าเราทำงานเพลิน ๆ ที่เราชอบ เรื่องพวกนี้จะไม่โผล่มาให้เราคิด แต่ถ้าเราสำรวมจิตสำรวมกายให้มันอยู่ที่ พอมีสติบ้างพอมีสมาธิบ้าง เรื่องเก่าปรากฏออกมาเลย อย่าเข้าใจผิดคิดว่าทำสมาธิไม่ได้ผล แต่แท้ที่จริงแล้วมันได้ผล เมื่อปรากฏขึ้นแล้วให้เรากำหนด “คิดหนอ” พอทำนานเข้า สติเราครบ สมาธิตั้งมั่น ความคิดจะปรากฏชัดว่าเรื่องในครั้งอดีตมาแล้วนั้นไม่ควรจะคิด คำว่าไม่ควรคิดจะเกิดขึ้นเอง ไม่ใช่เราไปนึกว่าอย่าไปคิดมันนะ บางทีเราไปฟังวิทยากรว่า “อย่าไปคิดเรื่องเก่า เอาแต่ปัจจุบัน” มันก็ถูก แต่โดยวิธีปฏิบัติแล้วไม่ให้คิดไม่ได้ โดยธรรมชาติจะต้องคิดตลอด คิดเรื่องโน้นเรื่องนี้
เรามาเจริญกรรมฐานเมื่อสติดีสมาธิดีแล้ว เรื่องเก่ามันจะปรากฏออกมา พอเรากำหนด “คิดหนอ ๆ” “รู้หนอ ๆ” ที่ลิ้นปี่ เรื่องที่ปรากฏออกมาก็จะหายไป แล้วเรื่องอื่นก็จะปรากฏออกมาอีก จิตจะเป็นอย่างนี้เสมอ
เพราะฉะนั้นขอให้ทุกท่านกำหนด อย่าปล่อยให้เรื่องผ่านไปเฉย ๆ ถ้าเราปล่อยผ่านไปโดยไม่กำหนดมันก็จะปรากฏขึ้นมาอีกเรื่อย ๆ เรื่องที่เป็นกุศล เป็นอกุศล ปัญญาจะบอกเราเองว่ามนุษย์เราก็เป็นอย่างนี้ ให้นึกเอาแต่ปัจจุบัน อดีตก็ผ่านไปแล้ว อนาคตก็ยังอยู่อีกไกล เราจะทำงานให้เป็นตามที่เราคิดได้หรือไม่ได้ ตัวปัญญาจะช่วยบอกเราเอง ปัญญาซึ่งเป็นตัวรู้จะฝังอยู่ในจิตใจเรา จะให้จำแต่สิ่งที่ดี สิ่งที่ไม่ดีมันจะคัดออกไป ซึ่งเรียกว่า “แยกแยะ” คิดอย่างแยกแยะ แยกแยะสิ่งที่ไม่ดีในใจหรือบาปในใจออกไป
เวลาทำกรรมฐานนั้นครูสอบอารมณ์เขาจะไม่บอกล่วงหน้าว่านี่ญาณอะไร เป็นอย่างไร เพียงแต่ถามอาการที่เกิดขึ้น พอบอกอาการจะรู้สภาวธรรมที่เกิด ครูอาจารย์เขารู้แล้วว่าเราได้ญาณอะไร ได้ถึงตรงไหน บางทีเรารู้สึกว่าทำไม่ได้เรื่องได้ราว นั่นแหละที่จริงได้เรื่องแล้ว แต่เราไม่รู้ว่าได้เรื่อง ถ้าเราทุกข์ปวดเมื่อยแสนสาหัสเราต้องกำหนดไว้ให้ได้ ทุกสิ่งเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป จะได้แยกเวทนาออกไป
จิตนั้นไม่มีตัวตน แม้เราสละร่างกายสังขารถึงแก่กรรมไปแล้ว สังขารทั้งหลายก็ต้องเสื่อมก็ต้องเน่าไปตามสภาวะ แต่จิตเน่าไม่ได้ จิตไม่ตาย มันก็เดินทางต่อไป จิตนี้อายุเป็นหมื่น ๆ ปี เหมือนอย่างเราเมื่อชาติก่อนเราเคยเป็นอะไร อยู่ที่ไหน จิตดวงนั้นแหละ แต่มันมีกระแส ๑๒๑ อารมณ์ เราถึงได้รู้ ถ้าหากว่าจิตดวงไหนมันหมุนเข้าไป พอเทปมันหมุนมา ถึงแม้เราไม่ทำสมาธิเราก็ระลึกชาติได้ว่าเราเคยไปที่ไหน เรามักจะฝันถึงเรื่องที่อยู่ในเทปอันนี้ มันบอกในฝัน
ความฝันนี่ไม่ใช่เรื่องเหลวไหล แต่ที่ฝันมันเป็นจิตเหลวไหล อารมณ์ไม่ดี ธาตุทั้ง ๔ ไม่สมดุล ก็ฝันเหมือนกัน แต่เป็นฝันที่ไม่ใช่เรื่องจริง ที่ฝันเรื่องจริงก็คือที่ออกมาจากเทปที่อัดไว้ในชาติก่อน ๆ ถ้าปฏิบัติถึงขั้นแล้วเราจะรู้หลาย ๆ อย่าง อย่างที่เรามาปฏิบัติ ๒ วันนี้ จะรู้
- อย่างแรกก็คือเวทนา
- อย่างที่ ๒ คือจิตหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงเปลี่ยนไปตามสภาวะมันจะไม่คงที่ เช่น นั่งคราวนี้ได้อย่างนี้ พอนั่งคราวใหม่ก็ได้อย่างใหม่อีกแล้ว มันผันแปร ถ้าจิตเราจับได้ กำหนดได้ มีสติครบ และสภาวธรรมจะเกิดขึ้น เราถึงจะจับได้ว่ามันผันแปรไม่แน่นอน เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เวลาปวดมากให้อดทน กำหนดให้ได้ อย่าไปเปลี่ยนอิริยาบถนั้น
ขอให้ทุกคนพยายามปฏิบัติ ให้กินน้อย นอนน้อย พูดน้อย ทำความเพียรให้มาก หมั่นฝึกฝน เมื่อทำได้เราก็เก็บรวบรวมผลงานไว้ จะได้ผลต่อไปในภายหน้า หากมีปัญหาเราก็จะแก้ไขได้ง่าย