> จะรู้ความจริงไป"ตั้งแต่ขั้นต้นๆ" เพิ่มมากขึ้น
เช่น เมื่อลมหายใจยาว -หายใจสั้น -ดูลมหายใจปรุงแต่งกาย -ควบคุมการปรุงแต่งอยู่ ,
*เป็นการช่วยให้...
"เห็นอย่างมี experience "
ไม่ใช่เห็นอย่างศึกษาเล่าเรียน ว่ามันมีความเป็นอนิจจังอยู่ในนั้นอย่างไร
*ความไม่เที่ยงหรือความเป็นอนิจจัง ...
-มันมีอยู่ในลมหายใจ
-มีอยู่ในหน้าที่ของลมหายใจ
-ในการกระทำ
-ในการเปลี่ยนแปลงลมหายใจ
มันแสดงให้เห็นสิ่งที่จะต้องเห็น คือ อนิจจัง เป็นต้นไปตั้งแต่แรกนี้ มันได้เปรียบ
และเราจะเห็นหนักยิ่งขึ้นในขั้นท้ายในขั้นที่ดูอนิจจัง คือขั้นที่๑๓ : การดูอนิจจังโดยเฉพาะ มากเป็นพิเศษ
*มันก็ดูย้อนหลังไปตั้งแต่ขั้นที่หนึ่งคือ ความไม่เที่ยงของลมหายใจ
มันจึงเป็นการประสานกันอยู่ ประกอบกันอยู่อย่างดีที่สุด ที่จะให้ได้มีความรู้ ความเห็น ความเข้าใจอย่างมหึมา ทันทีทีเดียว
> คือเราประพฤติปฏิบัติกระทำนี้ เพื่อให้เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาของสิ่งทั้งปวง
> แล้วก็มีวิธีปฏิบัติชนิดที่พอลงมือทำก็เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาจากสิ่งแรกที่ลงมือกระทำ
>> ระบบอานาปานสติ...
ให้ความสะดวกมากถึงอย่างนี้ :
*ให้เริ่มเกี่ยวข้องกับการเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาอย่างจริงจัง
...อย่างด้วย"จิตใจในภายใน"
...แล้วก็อย่างแน่นแฟ้น ไปตั้งแต่ต้น
นี้ก็เป็นความลับ หรืออุบายอะไรอันหนึ่งในระบบของอานาปานสตินั้น
>> อยากจะให้เห็นอีกแง่หนึ่งว่า...
...ระบบนี้เป็น"ระบบที่ลัดสั้นที่สุด" ประหยัดเวลามากที่สุด
...adjustได้ ตามความสามารถของบุคคล ที่จะลัดได้มากเท่าไร...แล้วแต่สติปัญญา ความสามารถ
แม้ว่าจะไม่มีสติปัญญามาก อันนี้ก็ยังเป็นวิธีลัดอยู่นั่นเอง เพราะไม่ไปใช้สติปัญญาอย่างฟุ่มเฟือย
โดยหลักใหญ่ ...
ก็เอาจุดสุดยอดมาดู เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แล้วก็เฉยเสียได้ มีเท่านี้
*"เอาจุดสุดยอดของความสุข...มาดูอยู่ทุกลมหายใจเข้าออก
จนเห็นความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่น่ายึดมั่นถือมั่น"
เรื่องมันมีเท่านี่
> นี่คือ ความลับของการลัดสั้นที่สุด
แต่แล้ว ...
เราก็ขยายระยะหนึ่งให้มันมีการปฏิบัติที่เป็นเทคนิคสมบูรณ์ขึ้นมา
มันจึงขยายออกไปได้ถึง ๑๖ ขั้น เพื่อความมีเทคนิคสมบูรณ์
ถ้าจะพูดให้เป็นเรื่องขั้นเดียว มันก็คือ:
# "พิจารณาอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อยู่ทุกลมหายใจเข้าออก"
แล้วขยายความออกไปว่า ...
# ไปเอา "ผล" ที่มันดีที่สุด คือยอดของความสุข มา"เป็นวัตถุสำหรับดูอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา"
แล้วมันก็ขยายต่อไปอีกว่า...
"ทำอย่างไร? จึงจะเอายอดสุดของความสุขมาเป็นปัจจุบัน มาเป็น experience ปัจจุบันอยู่ในจิตใจ"
ฉะนั้น...
# ต้อง"ทำให้มันมีขึ้นมา"สิ....
ก็ไปเอาวิธีทำให้ลมหายใจ:หรือกายสังขาร นี้...ให้รำงับๆ
จนทำให้มียอดสุขขนิดนี้ขึ้นมาเป็นของจริงอยู่ข้างใน ไม่ใช่คิดฝัน ไม่ใช่คาดคะเนเอา
# ต้องเอาสิ่งนั่นมา"ทำให้ปรากฏอยู่ในใจ"จริงๆ...
คือกำลังมีสุขยอดสุข อยู่จริงๆในใจ
แล้วก็ดูมันที่นั่นแหละ
จนกระทั่งเห็นว่า อ้าว ! นี่ก็เป็นเรื่องคลอนแคลน ง่อนแง่นไปตามเหตุตามปัจจัย ตามสิ่งแวดล้อม,
เมื่อตะกี้ไม่มี เดี่ยวนี้ก็มีขึ้นมา เพราะว่าเหตุปัจจัยอย่างนี้ถูกสร้างขึ้น
-อย่างนี่ก็เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
-เห็นในทำนองให้เกิดเบื่อหน่าย คลายกำหนัด จริงจังขึ้นมาเลย
เทคนิคมัยขยายออกไปได้อย่างนี้
เราจึงได้ถึง ๑๖ ขั้น
>> ทีนี้ ถ้าว่าเราไม่เหมาะที่จะใช้ทั้ง ๑๖ ขั้น
เราก็รวบรัดเข้าเหลือเพียง ๒ - ๓ขั้น :
# ลงมือสำรวมจิต ให้จิตสงบพอจะมีความสุขขึ้นมาบ้าง
# แล้วดู อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ที่มีความสุขนั้น
# จิตก็เฉยได้
...นี่เป็น ๓ ขั้น
>> หรือว่าถ้าเป็นคนมีปัญญา
# เราลงมือ"ปฏิบัติในหมวดที่หนึ่งสัก ๔ขั้น"พอสมควรเท่านั้น
ไม่ต้องมีญาณมีสมาบัติอะไรก็ได้
# เราก็ถือเอาความสุขจากในขั้นสุดท้ายนี้ (ขั้นที่ ๔)ไปพิจารณาอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เลย
มันสำเร็จในการพิจารณาความไม่เที่ยง
นอกจากนั้นมันเป็นไปเองโดยอัตโนมัติ ไม่ต้องไปสนใจก็ได้ ไม่มีทางผิด
>> แต่ถ้า"ทำสมบูรณ์แบบ"
ก็ไปเพ่ง "เฉพาะขั้น"ๆ...
# (ขั้น)เห็นอนิจจัง
# แล้วก็(ขั้น)เห็นความที่จิตคลายออก
# (ขั้น)เห็นความที่ทุกข์ดับไป
# (ขั้น)เห็นความที่เดี๋ยวนี้จิตปลดเปลื้องจากสิ่งทั้งปวงหมดแล้ว
....นั่นมันเป็นเรื่องละเอียดออกไปใน"ทางจิตวิทยา"
ถ้าใน"ทางศาสนา"...
"ปฏิบัติเพื่อความดับทุกข์" แล้วจะไม่ต้องดูก็ได้ ,
มันมีอยู่เองแล้ว มันมีอยู่ในนั้น
แต่ถ้าว่า เราต้องการจะแตกฉาน ต้องการจะเป็นผู้สั่งสอน ต้องการอะไรที่เป็นความสมบูรณ์...มันก็มี ๑๖ขั้น
รวมความแล้วก็ว่า
มันเป็นระบบปฏิบัติที่ยืดหยุ่นได้ แล้วก็ไม่เสียผล ไม่เสียหาย
adjustได้ตามอุปนิสัยใจคอของคนที่จะปฏิบัติ
แล้วก็ได้รับผลแน่นอน เป็นอันเดียวกัน ตรงที่ว่า "ดับทุกข์ได้" *
ส่วนความพิเศษนั้นไม่พูดถึง เพราะมันต่างกัน
นี้คือ
ความลับของอานาปานสติ หรืออุบายวิธีที่มันเกี่ยวเนื่องกันอยู่
สรุปความอีกครั้งหนึ่งเป็นเรื่องใหญ่ๆว่า ...
"เราต้องการจะมีชีวิตอยู่ด้วยความรู้ว่า
ทุกสิ่งไม่ควรยึดมั่นถือมั่น"
*"จะทำในใจ...ในความไม่น่ายึดมั่นถือมั่น ไว้ตลอดเวลา"
แล้ทำไม่สำเร็จ เพราะว่าเราบังคับจิตไม่ได้
เราก็หาอุบายวิธีที่จะบังคับจิตให้ได้เสียก่อน
ในเมื่อได้แล้ว มันก็สามารถที่จะ"มีความรู้สึกว่า ไม่ควรยึดมั่นถือมั่นนี้อยู่ในจิตตลอดเวลา"
มันก็ไม่เผลอไปยึดมั่นถือมั่นอะไรเข้า
มันมีสติปัญญาอยู่ตลอดเวลา
เพราะฉะนั้นการเคลื่อนไหวในชีวิต ตลอดวันตลอดคืนมันก็เป็นไปถูกต้องหมด
นี่คือใจความของอุบาย หรือ เคล็ดลับที่เป็นอุบาย
> ไปพิจารณาข้อนี้ให้แตกฉาน
ให้แจ่มแจ้งชัดเจน
> แล้วเราก็จงลองปฏิบัติดูโดยตรงที่เกี่ยวกับอานาปานสติ
แม้ไม่มีเวลามาก ก็ปฏิบัติเพียงเพื่อที่จะเข้าใจ
จะติดตัวไปสำหรับเราไปฝึกที่ไหน เมื่อไรต่อไปในอนาคตก็ได้
** มันเป็นความรู้ที่จำเป็นที่สุดสำหรับมนุษย์
(สรุปคัดย่อจาก"บรมธรรม ภาคปลาย",พุทธทาสภิกขุ: อบรมภิกษุนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พรรษาปี๒๕๑๒.;จัดพิมพ์โดย สนพ.สุขภาพใจ)