ในพรรษาปีนั้นได้จำพรรษาร่วมกับหลวงปู่มั่นและตาผ้าขาวอีกคนหนึ่ง การปรารภความเพียรในพรรษานั้นเป็นไปอย่างเต็มที่ เพราะมีหลวงปู่มั่นคอยควบคุมแนะนำ อุบายจิตภาวนา การแนะนำ ให้ศิษย์ปฏิบัติภาวนานั้น หลวงปู่มั่นท่านย้ำอยู่เสมอว่า
จะใช้บทพุทโธเป็นบทบริกรรม สำหรับผูกจิตก็ได้ เมื่อจิตสงบลงเป็นสมาธิแล้วให้วางบทบริกรรมเสีย แล้วพิจารณาร่างกายครั้งแรกให้พิจารณาเพียงส่วนใดส่วนหนึ่งที่เราสามารถที่จะเพ่งพิจารณาได้ อย่างสะดวกในอาการ ๓๒ เมื่อพิจารณาจนเกิดความชัดเจน กลับไปกลับมาหรือที่เรียกว่าอนุโลมปฏิโลมแล้ว เมื่อหายสงสัยในจุดที่พิจารณานั้นแล้วจึงค่อยเปลี่ยนเป็นจุดอื่นต่อไป อย่าพิจารณาเป็นวงกว้างทั้งร่างกาย เพราะปัญญายังไม่แก่กล้า
ถ้าพิจารณาพร้อมกันทีเดียวทั้งร่างกายความชัดเจนจะไม่ปรากฏ ต้องค่อยเป็นค่อยไป เมื่อพิจารณาจนเกิดความชำนาญแล้ว ถ้าเราเพ่งปัญญาลงไปจุดใดจุดหนึ่ง ความชัดเจนจากจุดอื่น ๆ ก็จะปรากฏเป็นนัยเดียวกัน เมื่อพิจารณาพอสมควรแล้ว ให้น้อมจิตเข้าพักอยู่ในความสงบ เมื่อพักอยู่ในความสงบพอสมควร แล้วให้ย้อนกลับออกมาพิจารณาร่างกายอีก ให้เจริญอยู่อย่างนี้ จึงจะเจริญทางด้านปฏิบัติเมื่อจิตมีความชำนาญเพียงพอแล้วคำบริกรรมพุทโธก็ไม่จำเป็น เพียงกำหนดจิต ก็จะสงบเข้าสู่สมาธิได้ทันที
ผู้ปฏิบัติจิตภาวนาถ้าส่งจิตออกไปภายนอกจากร่างกายแล้วเป็นอันผิดทางมรรคภาวนา เพราะบรรดาพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ที่พระองค์ได้ทรงสั่งสอนประกาศพระศาสนาอยู่ตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์นั้น แนวการปฏิบัติไม่พ้นไปจากกาย กายจึงเป็นสนามรบ กายจึงเป็นยุทธภูมิ ที่ปัญญาจะต้องค้น เพื่อทำลายกิเลสและกองทุกข์ซึ่งจิตของเรา ทำเป็นธนาคารเก็บสะสมไว้ภายใน หอบไว้ หาบไว้ หามไว้ หวังไว้จนนับภพนับญาติไม่ได้
สัตว์ทั้งหลายไม่ว่าชนิดใดในสังสารวัฏนี้ ล้วนแต่ติดอยู่กับกายนี้ทั้งสิ้น ทำบุญทำบาปก็เพราะกายอันนี้
มีความรักมีความชัง มีความหวง มีความแหนก็เพราะกายอันนี้ เราสร้างทรัพย์สมบัติขึ้นมาก็เพราะกายอันนี้
เราประพฤติศีลประพฤติธรรมก็เพราะกายอันนี้ เราประพฤติผิดศีลเราประพฤติผิดธรรมก็เพราะกายอันนี้ ในพระพุทธศาสนา พระอุปัชฌาย์ก่อนที่จะให้ผ้ากาสายะแก่กุลบุตรผู้เข้ามาขอบรรพชาอุปสมบทก็สอนให้พิจารณา ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย เป็นส่วนที่เห็นได้โดยง่าย เพราะเหตุนั้น กายนี้จึงเป็นทั้งเหตุและเป็นทั้งผล มรรคผลจะเกิดขึ้น ก็ต้องเกิดขึ้นจากกายนี้แหละ กายนี้เป็นเหตุ กายนี้เป็นผล เอากายนี้แหละเป็นมรรคเครื่องดำเนินของจิต เหมือนกับแพทย์ทั้งหลายจะรักษาเยียวยาคนป่วยได้ ต้องเรียนร่างกายนี้ให้เข้าใจถึงกลไกทุกส่วน จึงจะสามารถรักษาคนไข้ได้ ไม่ว่าทั้งอดีตอนาคตและปัจจุบัน
วงการแพทย์จะทิ้งร่างกายไปไม่ได้ ถ้าวิชาแพทย์ทั้งการศึกษาระบบกลไกของร่างกายเสียแล้ว ก็เป็นอันศึกษาผิดวิชาการแพทย์ทางสรีรวิทยา นักปฏิบัติธรรมถ้าละทิ้งการพิจารณาร่างกายเสียแล้วจะเอาอะไรมาเป็นเครื่องดำเนินมรรคปัญญา ร่างกายที่ประกอบขึ้นด้วยส่วนที่เป็นรูปและส่วนที่เป็นนาม ถ้าผู้ปฏิบัติไม่พิจารณาให้เห็นแจ้งด้วยปัญญาอันชอบแล้ว คำว่านิพพิทา วิราคะนั้น จะไปเบื่อหน่ายคลายกำหนัดอะไร นิโรธซึ่งเป็นตัวปัญญาจะไปดับทุกข์ที่ไหน เพราะเราไม่เห็นทุกข์ที่เกิดของทุกข์ ที่ดับของทุกข์ไม่รู้ ไม่เห็น พระพุทธเจ้าจะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าได้ พระองค์ต้องพิจารณากายนี้เป็นเครื่องดำเนินมรรคปัญญา เพราะในอุทานธรรมบทว่า อเนกชาติสํสารํ เป็นต้นนั้น
พระองค์ได้ประจักษ์อย่างแน่นอนว่า การเกิดนั้นเป็นทุกข์อยู่ร่ำไป พระองค์หักกงกรรมคืออวิชชาเสีย ความเกิดของพระองค์จึงไม่มีต่อไป กงกรรมคืออวิชชามันอยู่ที่ไหน ถ้ามันไม่อยู่ในจิตของเราจิตของเรามันอยู่ที่ไหน จิตมันก็คือหนึ่งในห้าของปัญจขันธ์ อันเป็นส่วนหนึ่งของนามนั่นเอง ผู้ปฏิบัติต้องใคร่ครวญพิจารณาอย่างนี้จึงจะได้ชื่อว่าดำเนินตามมรรคภาวนา ไม่มีอารมณ์อย่างอื่นนอกจากกายนี้ที่จะดำเนินมรรคภาวนาให้เกิดปัญญาขึ้นได้
หลวงปู่มั่นนั้น เวลาแนะนำสั่งสอนศิษย์ ท่านไม่ค่อยอธิบายธรรมะให้พิสดารมากนัก โดยท่านให้เหตุผลว่า ถ้าอธิบายไปมากผู้ปฏิบัติมักไปติดคำพูด กลายเป็นสัญญา ต้องปฏิบัติให้รู้ให้เกิดแก่จิตแก่ใจของตนเอง จึงจะรู้ได้ว่า คำว่าทุกข์นั้นเป็นอย่างไร
คำว่าสุขนั้นเป็นอย่างไร คำว่าพุทธะ ธรรมะ สังฆะนั้นมีความหมายเป็นอย่างไร สมาธิอย่างหยาบเป็นอย่างไร สมาธิอย่างละเอียดเป็นอย่างไร ปัญญาที่เกิดจากปัญญาเป็นอย่างไร ปัญญาเกิดจากภาวนาเป็นอย่างไร
เหล่านี้ผู้ปฏิบัติต้องทำให้เกิดให้มีขึ้น ในตนของตนจึงจะรู้ ถ้ามัวถือเอาแต่คำอธิบายของครูอาจารย์แล้วจิตก็จะติดอยู่ในสัญญาไม่ก้าวหน้าในการภาวนา เพราะเหตุนั้นจึงไม่อธิบายให้พิศดารมากมาย แนะนำให้รู้ทางแล้วต้องทำเอง เมื่อเกิดความขัดข้องจึงมารับคำแนะนำอีกครั้งหนึ่ง การปฏิบัติเช่นนี้เป็นผลดีแก่ศิษย์ผู้มุ่งปฏิวัติ เพื่ออรรถ เพื่อธรรมอย่างแท้จริง
ดังนั้นการบำเพ็ญสมาธิภาวนาในพรรษานั้น จึงได้เร่งความเพียรอย่างสม่ำเสมอทำให้ได้รับความเยือกเย็น ทางด้านจิตใจมากเป็นพิเศษ ทั้งนี้เพราะความเพียรเป็นไปอย่างต่อเนื่อง โดยมีหลวงปู่มั่น เป็นตัวอย่างในการทำความเพียร โดยปกติองค์ท่านจะทำความเพียรประจำอิริยาบถ ไม่ว่าท่านจะอยู่ในอิริยาบถใดๆ ต้องอยู่ด้วยภาวนาทั้งสิ้น เรื่องนี้ท่านย้ำเตือนเสมอไม่ให้ศิษย์ประมาทละความเพียร เราอยู่ร่วมกับท่าน ต้องเอาองค์ท่านเป็นตัวอย่าง ถึงแม้จะทำไม่ได้อย่างท่าน
แต่ก็เป็นศิษย์ที่มีครู มีแบบแผน มีแบบอย่าง มีตัวอย่างเป็นทางดำเนิน
บันทึกพระกรรมฐาน ตามแนวทาง
พระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ ฉบับที่ ๖