การปฏิบัติธรรมะ ถ้าหากเข้าใจแล้ว ไม่ยาก ที่มันยากมันเหนือวิสัยนั้น คือเราไม่เข้าใจเท่านั้นเอง
ท่านพูดไว้ดีแล้ว แต่เรามันไม่เข้าใจไปทำของง่าย ๆ ให้มันยุ่ง ทำของสบาย ๆ ให้มันลำบากขึ้นมา เมื่อไปทำให้มันยุ่งมันลำบากแล้ว ก็ทำไม่ได้
พระพุทธเจ้าท่านสอนของจริงที่มันมีอยู่ในคน ไม่ใช่สอนของที่มันไม่มีจริง และก็สอน(สิ่ง)ที่คนสามารถทำได้ และพระพุทธเจ้าก็เว้นสิ่งที่คนทำไม่ได้
วิธีนี้จึงเป็นวิธีง่าย ๆ ไม่ต้องไปศีกษากับตำรับตำรามาก เพราะมันมีในตัวคน เพราะว่าตัวคนทุกคนต้องรู้การเคลื่อนไหวของตัวเอง และการเคลื่อนไหวของจิตใจตัวเอง ถึงเรามีสติ-ต้องรู้
ในขณะที่เราไม่มีสตินั้น มันก็เคลื่อนไหวอยู่อย่างนั้น รูปกายก็เคลื่อนไหว จิตใจมันก็นึกก็คิด แต่ว่าเราไม่รู้ เมื่อไม่รู้ มันสร้างขึ้นมาให้เราเห็น สิ่งที่ไม่จริง
ดังนั้น วิธีการปฏิบัติแบบนี้ จึงไม่มีวิธีการอื่นใด นอกจากทำความรู้สึก นอกจากทำความตื่นตัวแล้ว ไม่มีอะไร แต่วิธีอื่นนั้นมีมาก เช่น ไปรักษาศีล หรือไปทำความสงบ(สมถะกรรมฐาน) อันนั้นมันไม่ใช่เกี่ยวข้องเรื่องนี้
อันนี้(วิธีนี้) ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรทั้งหมด ทำไมไม่เกี่ยวข้อง ? เพราะมันมีอยู่แล้วในตัวเรา มาศึกษาให้รู้ "ของจริงที่มีอยู่ในตัวเรา" นี่เอง
คำว่าเจริญสตินี่ ทุกส่วนให้มันทำหน้าที่ของมันโดยสมบูรณ์ของมัน ไม่ต้องไปฝืนธรรมชาติของมัน
การปฏิบัติวิธีนี้คือ เป็นวิธีที่จะเอาไปใช้กับการกับงาน จึงว่าไม่ได้ให้ฝืนธรรมชาติ
ตา เป็นหน้าที่ของมองให้เห็น
หู เป็นหน้าที่ของฟังเสียง
จมูก เป็นหน้าที่ของที่จะรู้ว่าเหม็นหอม
แล้วการเคลื่อนไหวของกายนี้ ต้องให้มันเป็นไปตามธรรมชาติหน้าที่ของมัน ไม่ต้องฝืนมัน "แต่ให้มันรู้เท่าทัน" เท่านั้นเอง
การทำจังหวะ การทำความรู้สึกตัว มันทำให้เราเกิดปัญญา ปัญญาไม่ใช่เป็นปัญญานึกคิด (แต่)เป็นปัญญาเกิดขึ้นมาจากกฎของธรรมชาติมันจริง ๆ เรียกว่า ปัญญาญาณของวิปัสสนาภาวนา
เกิดปัญญาเป็นอย่างไร ? เกิดปัญญารู้สูตรสำเร็จสูตรหนึ่ง สูตรของมันไม่ต้องไปศึกษาเล่าเรียนในพระไตรปิฎก
คำว่า สูตรสำเร็จนี่หมายถึง ความสำเร็จมาจากตัวมันเอง เหมือนกับเพชรหรือทองคำที่เจือปนอยู่กับตมเลน เรามาร่อนมาแยกออกไปแล้ว มันเหลือแต่เพชรล้วน ๆ สูตรเหล่านี้เราต้องปฏิบัติให้มันแสดงขึ้นมาเอง ยืนมั่นคงถาวร ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่แปรผัน
สูตร ๆ นี้มีแล้วในคนทุกคนไม่ยกเว้น...เมื่อสำเร็จแล้ว ก็ต้องมีญาณเกิดขึ้นว่า "ชาติสิ้นแล้ว ภพสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจอื่นไม่มี" กิจ...การศึกษาพระพุทธศาสนา จบตรงนี้
"ตัดผมครั้งเดียว" ก็หมายถึง สิ่งที่มันเป็นกฎของธรรมชาติ มันเข้าสู่สภาพของมัน รูปนี้ก็เข้าสู่สภาพเดิมของมัน จิตใจก็เข้าสู่สภาพของมัน อืมม์...อันนี้แหละ มันบ่ยาว มันบ่สั้น มันบ่ปรากฏขึ้นมา...มันรู้จัก มันจืดมันถอน เพิ้น(ท่าน)จึงว่า เป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์ เป็นสิ่งที่เคารพนับถือ เป็นสิ่งที่บ่เคยมีมาก่อน เรื่องหมู่(แบบ)นี้จึงว่าคาดคิดบ่ได้-เรื่องธรรมะ มันต้องปฏิบัติให้มัน "เป็น"
นิพพาน คือ มันเข้าสู่สภาพของมัน แค่นั้นเอง ไม่มีเรื่องอะไร
มันเบาทั้งหมดเลย มันเบากาย เบาใจ เบาชีวิต เบาไปทั้งหมดเลยครับ คือมันไม่มีอันใด(อะไร)มาติดพัน มาติดมาพัน มันไม่มีอันใด(อะไร)มาเกาะมาข้องมันครับ คือมันเรียกว่ามันไม่มีอันใด(อะไร) ตัวชีวิตของเราจริง ๆ นี่ครับ ตัวจิตใจของเราจริง ๆ มันเป็นอย่างนั้น
อันนี้ทุกคนต้องจำไว้ ถ้าเราไม่รู้นะ เราไม่รู้-ไม่เห็น-ไม่เป็น-ไม่มี เดี๋ยวนี้ เราจะประสบเอา(ตอน)จวนจะหมดลมหายใจนี่เลย เมื่อจวนจะหมดลมหายใจ ซึ่งขณะ...หลวงพ่อเข้าใจว่าวินาที หรือ ๒ วินาที หรือ ๕ นาที เราจะประสบเรื่องนี้ล่วงหน้า แล้วจึงหมดลมหายใจลง อันนี้แหละสัจจะแท้ เรียกว่า สัจจธรรม
เมื่อเฮาเห็นสภาพนี้(อาการเกิด-ดับ) เฮาจิ(จะ)รู้จักสภาพหรือสภาวะเฮาจิ(จะ)ตายนี่แหละ มันต้องเป็นอย่างซั้น(นั้น) มันต้องเป็นอย่างซี้(นี้) ฮู้(รู้)จักวิธีตายทันทีแต่ทุกคนก็ต้องมานี้ หนีจากนี้ไปบ่ได้ เพราะทุกคนเกิดมาแล้วก็ต้องตายนี่ คนเกิดมาในโลกนี้บ่ตายบ่มีจัก(สัก)คน อันนี้เรียกว่าสัจจะแท้ บ่เปลี่ยนแปลง เปลี่ยนแปลงไปบ่ได้ ถึงจะมีผู้รู้...มันก็เป็นอย่างซั้น(นั้น) บ่มีผู้รู้...มันก็เป็นอย่างซั้น(นั้น)
ดังนั้น สาวกของพระพุทธเจ้า จึงรู้จัก "วิธีตาย"
คนทุกคนต้องตาย ต้องไปประสบอันนี้ ถ้าเราไม่รู้จักอันนี้ เราจะไปโลกียธรรม ถ้าเรารู้จักอันนี้ มันจะเป็นทางออก ไปทางนี้...สอนกันให้รู้จัก ให้มันเห็น ให้มันรู้ให้มันเข้าใจ
ตัวเองมั่นใจว่าจะสอนเรื่องนี้ จะพูดเรื่องนี้ ให้คนผู้ที่มีปัญญาฟัง คนที่มีปัญญายังอ่อนก็เป็นธรรมดา คนผู้ที่มีปัญญาเข้มแข็ง ก็จะสามารถที่จะรู้เรื่องนี้ได้ หากไม่รู้ในขณะนี้(ตอน)จวนจะตายหรือหมดลมหายใจ ต้องประสบเรื่องนี้จริง ๆ แต่เรารู้ไว้วันนี้ มันจะดีกว่าบ้างไหม ?
เมื่อมาทำความรู้สึกตัว...ตื่นตัว รู้สึกใจ...นึกคิด...รู้ เป็นปกติ มันสามารถพาให้เราเดินมาถึงจุดนี้ได้ นี้เรียกว่า ทางเดินไปคนเดียว เป็นทางเอก ทาง ๆ นี้ ไม่ซ้ำรอยใคร
เรื่องรูป-นามนี่ หลวงพ่อ(ว่า)บ่เกิน ๕ มื้อ(วัน)หรอก ภายใน ๑๐ มื้ออย่างนาน-รู้ ถ้าตั้งใจทำแล้ว รู้จริง ๆ
จะทำให้จิตใจเปลี่ยนไปนี่ อยู่ในเกณฑ์เดือนหนึ่ง ผู้ทำจริงทำจังนี่ เดือนหนึ่งหรือสามเดือนนี่แหละ-รู้ ในเกณฑ์ทำให้จิตใจเปลี่ยนแปลงสภาพหนึ่ง เรียกว่า ขั้นต้น อันนี้
จะทำให้มันถึงที่สุดของทุกข์นั้น หลวงพ่อคิดว่าบ่เกิน ๓ ปี ถ้าเป็นคนจริงนะ ครั้นเป็นคนบ่จริง ๑๐ ปีก็บ่รู้เป็นอย่างนั้น
หลวงพ่อเคยท้าทายคนมา บ่มากก็น้อย ต้องรู้