วิธีเจริญอานาปานสติกรรมฐาน พร้อมด้วยการเจริญชาคริยะและอิทธิบาท
เมื่อจะเจริญกรรมฐานทุกอย่าง ควรจะรู้คำแปลของคำว่า “สมาธิ” และ ความเป็นจริงของสมาธิขั้นต่ำ ที่ชื่อว่า “ขณิกสมาธิ” ได้พอสมควรก่อน เพราะ ขณิกสมาธิย่อมเป็นสมาธิขั้นพื้นฐานที่ต่ำที่สุด เมื่อรักษาขณิกสมาธิให้ตั้งอยู่ได้นาน ขณิกสมาธินั้นจะค่อยกลายเป็น อุปจารสมาธิ และ อัปปนาสมาธิ
ไปตามลำดับ ตลอดถึงฌานสมาบัติทั้ง ๘
คำว่า “สมาธิ” แปลย่อๆ ง่ายๆ และเข้าใจง่าย ก็แปลว่า “ตั้งอยู่หรือทรงอยู่” หมายความว่า ความรู้ของจิต (คือวิญญาณ) รู้สิ่งใด เห็นสิ่งใด ความรู้ของจิต ความเห็นของจิต ก็ตั้งอยู่ที่สิ่งนั้น ชื่อว่า “จิตเป็นสมาธิอยู่ที่สิ่งนั้น” ครั้นความรู้ความเห็นของจิต เคลื่อนจากสิ่งนั้นแล้ว ไปรู้ไปเห็นสิ่งอื่นอีก ความรู้ความเห็นของจิต จึงตั้งอยู่ที่สิ่งอื่นนั้นอีก ก็ชื่อว่าเป็นสมาธิอยู่ที่สิ่งอื่นนั้นอีก เพราะความรู้ความเห็นของจิตตั้งอยู่ที่นั่นบ้าง ที่โน่นบ้าง เพียงชั่วครู่ชั่วขณะดังกล่าวมานี้แล เรียก ขณิกสมาธิ (อ่านว่า ขณิกะสมาธิ) คือเป็นสมาธิชั่วครู่ชั่วขณะ ส่วนภาพหรือสิ่งที่รู้ที่เห็นนั้น เรียกว่า “บริกรรมนิมิต” ดังนี้
เมื่อเรารู้ว่า “ขณิกสมาธิ” คือ ความรู้ของจิต ตั้งอยู่ที่อารมณ์อย่างใดอย่างหนึ่งชั่วครู่ ชั่วขณะเช่นนี้แล้ว เราหัดนึกถึงอารมณ์อย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น นึกถึงท้องฟ้า เป็นต้น เมื่อนึกถึงภาพท้องฟ้า เห็นได้เป็นเงาๆ ลางๆ ที่เรียกว่า มโนภาพ หรือ จินตนาการ หรือเพียงแค่รู้ภาพท้องฟ้าได้เท่านั้น เรียกว่า “บริกรรมนิมิต” เกิดขึ้น ความรู้ของจิตก็เป็น “ขณิกสมาธิ” อยู่ที่ท้องฟ้านั้น แต่จิตตั้งอยู่ที่ท่ามกลางอก นึกรู้ไว้อย่างนั้นนานๆ “บริกรรมนิมิต” แก่ขึ้นๆ จนเห็นภาพท้องฟ้าได้ “คล้ายกับลืมตาเห็น” เรียกว่า “อุคคหนิมิต” เกิดขึ้น ขณิกสมาธิก็กลายเป็น “อุปจารสมาธิ” ตั้งอยู่ที่ “อุคคหนิมิต” นั้น ครั้นเห็น “อุคคหนิมิต” อยู่เนืองๆ ต่อไป “อุคคหนิมิต” ก็กลายเป็น “ปฏิภาคนิมิต” “อุปจารสมาธิ” ก็กลายเป็น “ปฐมฌาณ” ครั้นเห็น “ปฏิภาคนิมิต”อยู่เนืองๆ สมาธิประณีตยิ่งขึ้น “ฌาน” ก็เลื่อนขึ้นไปตามลำดับ จนถึงจตุตถฌานด้วยอำนาจของการดู “นิมิต” เห็นอยู่ เพราะไม่ละการดูซึ่งนิมิตนั้น
สมาธินั้นมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “เอกัคคตารมณ์” แปลว่า “มีอารมณ์เป็นเลิศอย่างหนึ่ง” “เอกัคคตารมณ์” ก็เหมือนอย่างว่า ใจของเรานึกเห็นภาพท้องฟ้าอยู่ ดังกล่าวแล้วข้างต้นนั้น ส่วนตาหรือหู เป็นต้น ก็เห็นหรือได้ยินสิ่งอื่นอยู่ แต่ภาพท้องฟ้าที่เห็นอยู่นั้นก็ยังเห็นอยู่ ภาพท้องฟ้าที่เห็นอยู่นั้นชื่อว่า “อารมณ์เป็นเลิศ” ส่วนรูปหรือเสียงที่ได้เห็นได้ยินนั้น ชื่อว่า “อารมณ์รอง” และการเห็นภาพท้องฟ้าด้วยการนึกเห็นธรรมดาๆ นั้นก็คือ “เอกัคคตารมณ์ของขณิกสมาธิ” เมื่อรักษา “เอกัคคตารมณ์ของขณิกสมาธิ” ไว้ได้ คือ เห็น “นิมิตภาพท้องฟ้า” อยู่ได้นานขึ้นๆ นิวรณ์ทั้ง ๕ จะค่อยๆ อ่อนกำลังลงไปตามลำดับ “ เอกัคคตารมณ์ของขณิกสมาธิ” ก็จะแก่ขึ้นๆ กลายเป็น “ เอกัคคตารมณ์ของอุปจารสมาธิ” ครั้นรักษา เอกัคคตารมณ์ของอุปจารสมาธิ” คือเห็นท้องฟ้าอยู่อย่างนั้น นิวรณ์ทั้ง ๕ ดับสนิทลงเมื่อใด “ เอกัคคตารมณ์ของอุปจารสมาธิ” กลายเป็น “ เอกัคคตารมณ์ของปฐมฌาน” ทันที เมื่อปฐมฌานเกิดขึ้นแล้ว รู้ “สติสัมปชัญญะตั้งนิ่ง คงที่ อยู่ที่กายที่จิตได้” ก็เป็นสติปัฏฐาน ๔ โพธิปักขิยธรรมเกิดขึ้นพร้อมด้วยโพธิปักขิยธรรมทุกหมวด ทั้ง ๓๗ ประการ เมื่อทำอยู่เนืองๆ โลกียปัญญาในทางธรรมเจริญขึ้นพอสมควร วิปัสสนาก็จะเกิดขึ้นจนบรรลุอริยผล มีอรหัตผลเป็นที่สุด ดังนี้
ได้อธิบาย “ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิและ ฌาน” กับ “บริกรรมนิมติ อุคคหนิมิต ปฏิภาคนิมิต “ และเอกัคคตารมณ์โดยย่อๆ พอสมควรแล้ว ต่อแต่นี้จึงจะแสดง “วิธีเจริญอานาปานสติกรรมฐาน พร้อมด้วยการเจริญชาคริยะและอิทธิบาท” ต่อไป
ในกรรมฐาน ๔๐ ประการ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสรรเสริญ อานาปานสติกรรมฐาน ว่าเป็นยอดมงกุฎแห่งกรรมฐานทั้งปวง คือ เป็นของมีผลใหญ่ มีอานิสงส์ใหญ่กว่ากรรมฐานทั้งปวง เพราะเป็นสติปัฏฐาน ๔ ครบถ้วน ทั้ง ๔ อย่าง แต่ตำราวิสุทธิมรรคแสดงว่า อานาปานสติกรรมฐานเป็นของหนัก การภาวนาก็หนัก เป็นภูมิภาวนาของพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้าและพระพุทธบุตร ผู้เป็นมหาบุรุษ ไม่ใช่ของเล็กน้อย ไม่ใช่วิสัยของผู้มีบารมีนิดหน่อยจะส้องเสพได้ (คือไม่อาจปฏิบัติได้ง่าย) จึงใคร่ครวญดูว่า ท่านผู้เป็นมหาบุรุษทั้งหลาย มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน ท่านมีคุณธรรมอะไรเป็นอุปการะแก่การเจริญอานาปานสติกรรมฐาน ก็เข้าใจว่า ท่านผู้เป็นมหาบุรุษทั้งหลาย ย่อมเป็นผู้ประกอบด้วยชาคริยธรรมและอิทธิบาทธรรมเป็นอันมาก จึงคิดว่าผู้มีบารมีนิดหน่อย เช่นพวกเราทั้งหลาย เมื่อจะเจริญอานาปานสติกรรมฐาน จึงควรเจริญพร้อมด้วยการเจริญชาคริยะและอิทธิบาท ได้ทดลองทำดูด้วยตนเองและสอนให้ผู้อื่นทำดูด้วย โดยวิธีคุมเขานั่งทำ คอยบอก คอยสอน และถามให้เขาตอบ คอยอธิบายให้เขาเข้าใจจนทำได้ ไปทีละตอนๆ ปรากฎว่าผู้ที่ตั้งใจทำตาม ทำได้ผลดีเป็นอันมาก ซึ่งมีหลักเกณฑ์การทำเป็น ๘ ตอน ดังต่อไปนี้
ตอนที่ ๑ เมื่อนั่งขัดสมาธิ เอาขาขวาซ้อนขาซ้าย มือขวาซ้อนมือซ้าย หงายมือทั้ง ๒ วางไว้บนตัก ตั้งกายให้ตรง นั่งเบาๆ อย่างธรรมดาๆ จิตใจก็เบาๆ อย่างธรรมดาๆ นึกทำกายทำใจให้เบาๆ หลวมๆ เท่าที่จะทำให้เบาให้หลวมได้ แล้วทำความสำคัญหมายว่า จิตของตนตั้งอยู่ท่ามกลางอก ที่กายนี้ จิตของตนไม่ออกจากกายไปไหน แม้จะนึกไปถึงที่ที่ไกลๆ จิตของตนก็ตั้งอยุ่ท่ามกลางอกที่กายนี้นี่แหละ มีแต่ความรู้ของจิตเท่านั้น รู้ไปถึงที่ ที่เรานึกนั่น
แล้วทำสติสัมปชัญญะ ตั้งอยู่ที่จิตท่ามกลางอก และมีสติสัมปชัญญะรู้รอบกายเบาๆ อย่างธรรมดาๆ จึงหลับตาลง หรือจะไม่หลับตาก็ได้ ทำใจนึกถึงภาพท้องฟ้าเหนือศีรษะตนเอง ให้เห็นภาพท้องฟ้าได้ด้วยการนึกเห็น โดยไม่ต้องเพ่งด้วยประสาทตา เพียงแต่เห็นด้วยมโนภาพ คือ ภาพที่นึกเห็น และนึกเห็นภาพท้องฟ้านั้นเป็นสีขาวโปร่งโล่ง เมฆหมอกไม่มี อากาศสว่างเป็นกลางวัน แม้ทำกลางคืนก็นึกว่าเป็นกลางวัน เหนือศีรษะของตนขึ้นไป ถึงท้องฟ้า ไม่มีสิ่งปิดกั้นกำบังใดๆ ทั้งสิ้น ไม่มีหลังคา ไม่มีเพดาน คือให้นึกสร้างมโนภาพขึ้นตามที่กล่าวนี้ และให้นึกดูนิ่งอยู่ที่เดียว อย่าให้การดูของจิตนั้นส่ายไปส่ายมา พยายามดูให้เห็นภาพท้องฟ้านิ่งอยู่ที่เดียวด้วย ดูให้เบาด้วย โดยนึกทำกายทำจิตให้เบาๆ หลวมๆ ไม่กด ไม่เก๊ก ถ้ากด เก๊ก หรือเพ่งจ้องแรงนิดเดียว จะเห็นภาพท้องฟ้าได้ยากมาก ถ้านึกเบาๆ อย่างธรรมดาๆ จะนึกเห็นได้ง่าย เมื่อนึกถึงภาพท้องฟ้าอย่างเบาๆ จนเห็นภาพท้องฟ้าด้วยมโนภาพได้ สมาธิก็ตั้งขึ้นแล้ว จึงดูให้เห็นอยู่อย่างนั้น และขยายการดูให้เห็นกว้างออกๆ จนเห็นทั่วท้องฟ้า จิตจะเกิดความเบาสบาย
พร้อมกับการดูภาพท้องฟ้าเบาและนิ่งอยู่ที่เดียวนั้น ให้ทำการหายใจเข้า ทำการหายใจออกด้วยตนเอง ไม่ปล่อยให้เป็นเพียงหน้าที่ของปอดเท่านั้น และเมื่อหายใจเข้าก็นึกบริกรรมว่า “พุท” พร้อมกับลมหายใจเข้า เมื่อหายใจออกก็นึกบริกรรมว่า “โธ” พร้อมกับลมหายใจออก ทั้งทำใจให้นึกดูภาพท้องฟ้านิ่งอยู่ที่เดียวและเบาด้วยอยู่อย่างนั้น และอย่าเอาจิตเหลียวกลับมาดูลมหายใจด้วย ให้เพียงแต่มีสติสัมปชัญญะรู้สึกลมหายใจเข้า รู้สึกลมหายใจออกเบาๆ แผ่วๆ เท่านั้น ที่เรียกว่า อานาปานสติกรรมฐาน ก็ได้แก่ กรรมฐานที่มีสติสัมปชัญญะรู้สึกลมหายใจเข้า มีสติสัมปชัญญะรู้สึกลมหายใจออกนั่นเอง ไม่ใช่เอาจิตเพ่งดูลม แต่มีสติสัมปชัญญะรู้สึกลมหายใจเข้า มีสติสัมปชัญญะรู้สึกลมหายใจออกอยู่ต่างหาก
การนึกดูภาพท้องฟ้านี้ บางคนพอหลับตานึก ก็เห็นภาพท้องฟ้าเป็นสีขาวได้ทันที บางคนก็เห็นเป็นสีเขียวก่อน บางคนก็เห็นมัวๆ สลัวๆ ลางๆ บางคนก็เป็นสีดำและอากาศมืด บางคนก็เห็นแต่อากาศมืดอย่างเดียว ทั้งนี้เพราะนิสัยและวาสนาของแต่ละบุคคลไม่เหมือนกัน แม้จะเห็นเป็นอย่างไรก็ตาม ให้นึกดูให้เห็นนิ่งอยู่ที่เดียวและเบาด้วย พร้อมกับทำการหายใจเข้านึกบริกรรมว่า “พุท” ทำการหายใจออกนึกบริกรรมว่า “โธ” ทั้งมีสติสัมปชัญญะตั้งอยู่ที่กายที่จิตอยู่อย่างนั้นด้วย
ทำอยู่อย่างนี้เนืองๆ บ่อยๆ นานๆ นิมิตภาพท้องฟ้า อากาศจะค่อยเปลี่ยนไปๆ นิมิตภาพท้องฟ้าดำๆ หรือนิมิตอากาศมืดๆ นั้น จะค่อยจางไปๆ จนกลายเป็นอุคคหนิมิตอ่อนๆ คือเห็นภาพท้องฟ้าลางๆ ได้ ทำไปเช่นนี้เนืองๆ ก็จะค่อยเห็นนิมิตภาพท้องฟ้าชัดขึ้นๆ และอากาศสว่างขึ้นๆ ตามลำดับ รักษาการเห็นนิมิตภาพท้องฟ้าไว้อย่างนั้น สมาธิเจริญขึ้นพร้อมกับอุคคหนิมิตนั้น ก็จะสามารถเห็นนิมิตภาพท้องฟ้าได้ทั่วท้องฟ้า ทั้งด้านหน้า ด้านหลัง
คำว่า นิมิต แปลว่า เครื่องหมาย หรือ ที่หมาย หรือ สิ่งที่กำหนดหมายรวมทั้งสิ่งต่างๆ ที่เห็นด้วยจิต ในเวลาที่จิตสงบเป็นสมาธิด้วย
เมื่อเห็นนิมิตภาพท้องฟ้าได้ทั่วท้องฟ้า ทั้งด้านหน้าด้านหลังเป็นสีขาวชัดเจนดีแล้ว สติสัมปชัญญะที่รู้ลมหายใจเข้า รู้ลมหายใจออกจะชัดดีขึ้น อานาปานสติสมาธิก็เจริญขึ้นพอสมควร สติสัมปชัญญะก็แจ่มใสดีขึ้น ความเบาสบายทั้งกายและจิตก็มี ฉันทะอิทธิบาท คือ ความพอใจจึงเกิดขึ้น ในอิทธิบาททั้ง ๔ คือ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา มีฉันทะเป็นหัวหน้า เมื่อฉันทะเกิดขึ้นแล้ว อีกสามอย่างก็เกิดตามมา อิทธิบาททั้ง ๔ เกิดขึ้นด้วยอาการอย่างนี้ แม้ชาคริยะก็เกิดขึ้นพร้อมกับอิทธิบาทนั้นนั่นแหละ
อย่างไรก็ตาม การนึกดูภาพท้องฟ้าสีขาว ใต้ท้องฟ้าโปร่ง โล่ง เมฆหมอกไม่มี อากาศเป็นกลางวัน เป็นเหตุให้เกิดความเบาความสบาย ความปวดเมื่อยมีน้อยก็จริง ถึงอย่างนั้นก็ตาม บางคนสุขภาพไม่ดีพอ ก็ต้องพลิกเป็นนั่งพับเพียบ หรือขยับตัวบ่อยๆ จึ่งจะสามารถนั่งได้นานๆ แต่เวลาขยับตัวหรือพลิกตัวเปลี่ยนท่านั่ง ต้องประคองสมาธิไว้ให้ดี คือ ต้องดูภาพท้องฟ้าให้เห็นนิ่งอยู่อย่างนั้น และอย่าทนนั่งเมื่อยเพื่อจะสู้กับความเมื่อย เพราะถ้าจะสู้กับความเมื่อย กระแสความรู้ของจิตก็จะหดจากท้องฟ้ามารวมอยู่ที่ความเมื่อย ซึ่งเป็นกระแสจิตแคบ ความเบาสบายจะเสื่อมไป ลมหายใจจะไม่สะดวก อานาปานสติกรรมฐานจะเสื่อมลง พร้อมทั้งชาคริยะและอิทธิบาท
คำว่า ชาคริยะ แปลว่า ความตื่น คือ จิตตื่นอยู่ด้วยสติสัมปชัญญะอันแจ่มใส ผ่องใส สว่างไสว ไม่ซึม ไม่ง่วง
คำว่า อิทธิบาท แปลว่า ฤทธิ์ เป็นเครื่องให้สำเร็จความประสงค์ที่ไม่เหลือวิสัย ก็สมาธิ ฌาน สมาบัติ อริยมรรค อริยผล เป็นของไม่เหลือวิสัยของมนุษย์ ผู้ใดทำถูกอุบาย พร้อมทั้งทำชาคริยะและอิทธิบาทให้เจริญขึ้นได้ด้วยย่อมมีหวัง ถ้าทำผิดอุบาย แม้จะมีชาคริยะและอิทธิบาทอยู่มากแล้วก็ตาม ย่อมไม่ได้ผล หากทำผิดอุบายร้ายแรง อาจให้ถึงสติวิปลาสไปก็ได้ เหตุนั้นควรรู้ ลักษณะสำคัญของสมาธิ ๔ ประการ คือ
๑) นิ่ง ๒) เบา ๓) กว้าง ๔) มีสติสัมปชัญญะตั้งอยู่ที่กาย ที่จิต
ความนิ่งคือ สมาธิ ความเบาและกว้าง คือ ลักษณะที่ดีของสมาธิ ส่วนสติสัมปชัญญะตั้งอยู่ที่กายที่จิต คือ สติปัฏฐาน ๔ การนึกถึงภาพท้องฟ้านิ่งอยู่ที่เดียวด้วยจิตใจธรรมดาๆ เป็นเหตุให้จิตหรือความรู้ของจิตหยุดนิ่งเป็นสมาธิและเบา การดูเห็นภาพท้องฟ้ากว้างใหญ่ เป็นเหตุให้สมาธิกว้างใหญ่และเบายิ่งขึ้น จึงเป็นเหตุให้สัมมาสมาธิมีปฐมฌาน เป็นต้นเกิดขึ้น ให้ความรู้ของจิตหยุดนิ่ง คงที่ได้โดยง่าย เพราะสัมมาสมาธิเกิดขึ้นให้ความรู้ของจิตหยุดนิ่งคงที่ สติสัมปชัญญะอันตั้งอยู่ที่กายที่จิต ก็ต้องหยุดนิ่งด้วย จึงเป็นสติปัฏฐาน ๔ เกิดขึ้นทันที และ สติปัฏฐาน ๔ นี้แลเป็นเครื่องป้องกันและแก้สติวิปลาสได้โดยเฉพาะ คือ ผู้ที่ทำกรรมฐานวิธีนี้โดยถูกต้องไม่เคลื่อนคลาดทุกขั้นตอน จะเกิดเป็นสติวิปลาสไม่ได้เป็นอันขาด แม้บางคนทำกรรมฐานวิธีอื่นเกิดเป็นสติวิปลาสขึ้น ครั้นมาทำวิธีนี้จนสติปัฏฐาน ๔ เกิดขึ้น สติวิปลาสก็หายไป สติปัฏฐาน ๔ จึงเป็นเครื่องแก้วิปลาสได้ ดังนี้
การทำวิธีนี้ เมื่อเห็นนิมิตภาพท้องฟ้าได้ทั่วดีแล้ว รักษาให้เห็นอยู่อย่างนั้นไม่ให้หายไป ตอนที่ ๒ ถึงตอนที่ ๘ ทำไปตามลำดับ ก็จะทำได้ทุกคน เมื่อทำได้ครบทั้ง ๘ ตอน สติปัฏฐาน ๔ ก็จะเกิดขึ้นพร้อมด้วยโพธิปักขิยธรรมทุกหมวด ครั้นทำอยู่เนืองๆ วิปัสสนาก็จะเกิดขึ้นให้บรรลุอริยมรรค อริยผล เพราะเหตุนั้น เมื่อทำจนเห็นท้องฟ้าได้ทั่วดีแล้ว จึงทำตอนที่ ๒ เพิ่มขึ้นอีก พร้อมทั้งให้เห็นภาพท้องฟ้าอยู่ด้วย ถ้าท้องฟ้าหายก็ต้องนึกให้เห็นขึ้นอีก
ตอนที่ ๒ นึกดูขอบฟ้าจดดินให้เห็นรอบ โดยนึกว่าโลกแบนแผ่กว้างออกไปจดขอบฟ้ารอบ และท้องฟ้าก็โค้งลงมาเป็นขอบฟ้าจดดินรอบ ราวกับกะทะใหญ่สีขาว คว่ำครอบโลกอยู่ฉะนั้น ความจริงขอบฟ้าจดดินไม่มี แต่เมื่อเราทำความสำคัญหมายว่ามี ก็จะเห็นมีขึ้นมาได้ ทั้งนี้เพื่อเป็นอุบายให้สมาธิมีกระแสกว้างใหญ่และเบา และนึกให้เห็นแผ่นดินที่ขอบฟ้าจดอยู่นั้นเป็นแผ่นดินที่เรียบเสมอ ไม่มีต้นไม้ ภูเขา แม่น้ำลำคลอง ถนน หนทาง บ้านเรือนใดๆ ทั้งสิ้น เห็นขอบฟ้าจดดินรอบดีแล้ว จึงทำตอนที่ ๓ เพิ่มขึ้นอีก ทั้งเห็นท้องฟ้าทั่ว และขอบฟ้าจดดินรอบก็ให้เห็นอยู่ด้วย
ตอนที่ ๓ ทำการดูแผ่นดินให้เห็นทั่วและเรียบเสมอ ไม่มีต้นไม้ ภูเขา แม่น้ำ ลำคลอง ถนนหนทาง บ้านเรือนใดๆ ทั้งสิ้น โดยเริ่มดูแต่ริมๆ ขอบฟ้าให้เห็นรอบก่อน แล้วจึงดูให้เห็นทั่ว คือ ดูแผ่นดินแต่ริมขอบฟ้าโดยรอบเรื่อยมา จนเห็นถึงที่ที่ตนนั่งอยู่ และเห็นเรียบเสมอทั่วทั้งหมด ทั้งระวังอย่าให้เห็นแผ่นดิน ขอบฟ้า ท้องฟ้าหดแคบเข้ามาด้วย เพราะยิ่งเห็นแผ่นดิน ขอบฟ้ากว้างใหญ่ ท้องฟ้าสูงเวิ้งว้างเพียงใด ทั้งกายและจิตก็สบายมากเพียงนั้น แม้สมาธิพร้อมด้วยชาคริยะและอิทธิบาท ก็เจริญรวดเร็วมากขึ้นเพียงนั้นด้วย เมื่อเห็นแผ่นดินได้ทั่วและเรียบเสมอ จึงทำตอนที่ ๔ เพิ่มขึ้นอีก ทั้งท้องฟ้าและขอบฟ้าจดดินรอบ และแผ่นดินทั่วก็ให้เห็นอยู่ด้วย
ตอนที่ ๔ ทำการดูกายของตนให้เห็นทั่ว โดยดูไปตามลำดับดังต่อไปนี้ ดูใบหน้าให้เห็นทั่วก่อน คือ ดูหน้าผาก แก้ม คาง โครงจมูก เปลือกตา ลูกตา ริมฝีปาก และใบหูทั้ง ๒ ข้าง แล้วจึงดูศีรษะ ท้ายทอย บ่า ไหล่ หลัง เอว สะโพกทั้ง ๒ ข้าง เห็นกายด้านหลังทั่วชัดเจนดีแล้ว จึงดูด้านหน้าให้เห็นทั่ว เริ่มแต่ลำคอ อก ท้อง ลำตัว ลำแขน ลำขา ตลอดฝ่ามือ ฝ่าเท้า หลังมือ หลังเท้า นิ้วมือ นิ้วเท้า เล็บมือ เล็บเท้าทุกเล็บ และเห็นรูจมูกด้วย
การจะเห็นร่างกายได้ง่าย เห็นได้เร็ว และเห็นชัดเจนดี ก็เพราะเห็นท้องฟ้าเป็นสีขาว อากาศสว่าง ชัดเจนดี ถ้านิมิตภาพท้องฟ้ามัว หรือมืดหายไป ก็ยากที่จะเห็นร่างกายได้ แม้ขอบฟ้าจดดินและแผ่นดินก็จะมัวหรือมืดหายไปด้วย การเห็นนิมิตภาพท้องฟ้า จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องรักษาไว้ให้เห็นอยู่ตลอดไป เมื่อเห็นร่างกายทั่วดีแล้ว จึงทำตอนที่ ๕ เพิ่มขึ้นอีก
ตอนที่ ๕ ดูลมหายใจที่ไหลเข้า ไหลออกในรูจมูก จนเห็นเป็นสีขาวชัดเจนดีทั้งลมเข้า-ลมออก จึงดูให้เห็นลึกเข้าไปๆ ตามลำดับ ในปาก ในคอ ในอก ในท้อง ถึงไข่ดันทั้ง ๒ ข้าง ไหลไปตามขาถึงออกปลายนิ้วเท้าทุกนิ้วทั้ง ๒ ข้าง เป็นสีขาวชัดเจนดี และลมหายใจในรูจมูก ในปาก ในคอ ในอก ในท้อง ก็ยังเห็นอยู่ คือ เห็นเป็นสายตั้งแต่รูจมูกถึงออกปลายนิ้วเท้าทุกนิ้ว แล้วรักษาให้เห็นอยู่อย่างนั้น
จึงดูลมหายใจแยกเข้าไหล่ทั้ง ๒ ข้าง เห็นไหลไปตามแขนถึงออกปลายนิ้วมือทั้ง ๒ ข้างทุกนิ้ว และลมหายใจตั้งแต่รูจมูกถึงออกปลายนิ้วเท้า ก็ให้เห็นอยู่
จึงดูลมหายใจแยกขึ้นศีรษะ เห็นออกศีรษะ ออกทั่วใบหน้า หน้าผาก แก้ม คาง โครงจมูก เปลือกตา ริมฝีปากและใบหูทั้ง ๒ ข้าง เห็นลมหายใจไหลเข้าโคนเส้นผม ออกปลายเส้นผมทุกเส้นผม ออกท้ายทอย บ่า ไหล่ หลัง เอว สะโพกทั้ง ๒ ข้าง เห็นลมหายใจออกทั่วกายด้านหลังทุกขุมขน
จึงดูลมหายใจออกด้านหน้า ตั้งแต่ลำคอ อก ท้อง ลำตัว ลำแขน ลำขา ตลอดฝ่ามือ ฝ่าเท้า หลังมือ หลังเท้า นิ้วมือ นิ้วเท้า ขาวโพลน ทั่วกายทั้งหมด แล้วรักษาให้เห็นอยู่อย่างนั้น จึงทำตอนที่ ๖ เพิ่มขึ้นอีก
ตอนที่ ๖ ดูลมที่มีอยู่ในที่ว่างๆ รอบกายให้เห็นรอบ แล้วขยายการดูให้เห็นกว้างออกๆ จนเห็นลมเต็มโลก เต็มแผ่นดิน เต็มขอบฟ้า เต็มท้องฟ้า และท้องฟ้า ขอบฟ้า แผ่นดิน ร่างกาย และลมหายใจเข้า-ออก ทั่วกายก็ยังเห็นอยู่ จึงทำตอนที่ ๗ เพิ่มขึ้นอีก
ตอนที่ ๗ ดูอวัยวะภายในให้เห็นทั่วทุกแห่ง เริ่ม แต่ ฟัน กราม เหงือก กระดูกขากรรไกรล่าง กระดูกขากรรไกรบน กระดูกหน้า เบ้าตา ลูกตา กะโหลกศีรษะ มันสมอง โครงกระดูกทั้งหมด ตลอดถึงกระดูกนิ้วมือนิ้วเท้า พร้อมทั้งเส้นเอ็นที่รึงรัดโครงกระดูกทุกเส้น และเนื้อหนังที่ห่อหุ้มโครงกระดูกทุกส่วน จึงดูหัวใจ ตับ ไต ปอด ลำไส้ใหญ่ ลำไส้น้อย กระเพาะอาหาร กระเพาะอุจจาระ กระเพาะปัสสาวะ พร้อมทั้งอาหาร อุจจาระ ปัสสาวะในกระเพาะด้วย เส้นโลหิตทุกเส้น พร้อมทั้งโลหิตในเส้นโลหิตด้วย เมื่อเห็นได้ดังกล่าวนี้แล้ว จงดูให้เห็นอยู่อย่างนั้น แล้วทำตอนที่ ๘ เพิ่มขึ้นอีก
ตอนที่ ๘ นึกทำกายให้ละเอียด ให้โปร่ง เบา เนื้อ หนัง เอ็น กระดูก รูปร่างกายทุกส่วน เห็นเป็นรูปร่างกายอยู่เหมือนเก่า แต่ให้เห็นเป็นของโปร่งเบา เหมือนเป็นของทำด้วยลมทั้งหมด ลมหายใจที่ไหลเข้า-ไหลออกในรูจมูก พร้อมทั้งลมหายใจเข้า-ออกทั่วกาย และลมภายนอกกายเต็มโลก เต็มแผ่นดิน เต็มท้องฟ้า และท้องฟ้า ขอบฟ้า แผ่นดินก็ยังเห็นอยู่ จึงเปลี่ยนการดูแผ่นดินให้เห็นตามความเป็นจริง คือ ไม่นึกว่าโลกแบนเหมือนตอนที่ ๒ และดูให้เห็นแผ่นดินมีต้นไม้ ภูเขา แม่น้ำ ลำคลอง ถนนหนทาง บ้านเรือน ตามความเป็นจริงเท่าที่จะสามารถเห็นได้ และดูให้เห็นไกลออกไปตามแผ่นดิน แผ่นน้ำ จนเห็นได้รอบโลก ทั้งเห็นท้องฟ้ารอบโลก และเห็นลมเต็มโลก เต็มท้องฟ้ารอบโลกด้วย ก็เป็นอันทำได้ครบทั้ง ๘ ตอนแล้ว เมื่อทำได้ครบ ๘ ตอนเช่นนี้ และเห็นนิมิตทั้ง ๕ อย่างอยู่ คือ
๑. เห็นท้องฟ้ารอบโลก
๒. เห็นแผ่นดิน แผ่นน้ำ รอบโลก
๓. เห็นลมภายนอกกาย เต็มทั่วแผ่นดิน แผ่นน้ำ เต็มท้องฟ้ารอบโลก
๔. เห็นลมหายใจเข้า-ออกทั่วกาย
๕. เห็นกาย ที่เป็นเหมือนของที่ทำด้วยลมทั่วกาย
เมื่อเห็นนิมิตทั้ง ๕ อย่าง พร้อมกับรู้เห็นสติสัมปชัญญะหยุดนิ่งคงที่อยู่ที่กายที่จิตชัดเจนดี โพธิปักขิยธรรมทั้ง ๗ หมวดก็เกิดขึ้นพร้อมกันแล้ว บำเพ็ญต่อไปวิปัสสนาก็จะเกิดขึ้น ครั้นวิปัสสนาเกิดขึ้นแล้วยังเห็นนิมิตทั้ง ๕ อย่างอยู่ได้ วิปัสสนูปกิเลสก็เกิดขึ้นขัดขวางวิปัสสนาไม่ได้ วิปัสสนาจึงดำเนินไปจนถึงอริยมัคคสมังคีเกิดขึ้นได้บรรลุอริยผล ถ้าหากเห็นนิมิตทั้ง ๕ อย่างอยู่ แต่เห็นความหยุดนิ่งคงที่ของสติสัมปชัญญะยังไม่ชัด และทำหลายวันแล้ววิปัสสนาก็ไม่เกิด ก็แสดงว่า อินทรีย์ทั้ง ๕ คือ ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา ยังมีกำลังไม่เสมอกัน เพื่อจะให้อินทรีย์ทั้ง ๕ เสมอกัน ก็ควรเจริญกายคตาสติเพิ่มขึ้นอีก โดยให้เห็นนิมิตทั้งอย่างอยู่ แล้วนึกดูอาการ ๓๒ ให้เห็นไปโดยลำดับ ตามพระบาลีที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดังต่อไปนี้ว่า
อตฺถิ อิมสฺมึ กาเย มีอยู่ในกายนี้ เกสา คือ ผมทั้งหลาย โลมา คือ ขนทั้งหลาย นขา คือ เล็บทั้งหลาย ทนฺตา คือ ฟันทั้งหลาย ตโจ คือ หนัง มํสํ คือ เนื้อ นหารู คือ เอ็นทั้งหลาย อฎฺฐี กระดูกทั้งหลาย อฏฺฐิมิญชํ เยื่อในกระดูก วกฺกํ ม้าม หทยํ หัวใจ ยกนํ ตับ กิโลมกํ พังผืด ปิหกํ ไต ปปฺผาสํ ปอด อนฺตํ ไส้ใหญ่ อนฺตคุณํ ไส้น้อย อุทริยํ อาหารใหม่ กรีสํ อาหารเก่า ปิตตํ น้ำดี เสมฺหํ เสลด ปุพฺโพ น้ำเหลือง โลหิตํ น้ำเลือด เสโท เหงื่อ เมโท มันข้น อสฺสุ น้ำตา วสา มันเหลว เขโฬ น้ำลาย สิงฆาณิกา น้ำมูก ลสิกา น้ำไขข้อ มุตตํ น้ำมูตร มตฺถเก มตฺถลุงฺคํ เยื่อในสมอง ดังนี้
เมื่อเห็นนิมิตทั้ง ๕ อย่างอยู่ แล้วเจริญกายคตาสติอยู่ ดังนี้ สติปัฏฐานทั้ง ๔ ย่อมตั้งมั่น กายย่อมรำงับ จิตย่อมเป็นสมาธิแน่วแน่ จึงเป็นไปได้ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า “สติต้องตั้งมั่นไม่ฟั่นเฟือน กายต้องรำงับไม่กระสับกระส่าย จิตต้องเป็นสมาธิแน่วแน่” ดังนี้ คำว่า “สติต้องตั้งมั่น” ก็หมายถึง สติปัฏฐาน ๔ ตั้งมั่นนั่นเอง เพราะสติปัฏฐาน ๔ ตั้งมั่นได้เมื่อใด อินทรีย์ทั้ง ๕ ก็จะมีกำลังเสมอกัน เป็นเหตุให้วิปัสสนาเกิดขึ้นบรรลุอริยผลได้ ดังนี้
เรื่องวิปัสสนานี้ กล่าวตามปริยัติก็เป็นเรื่องยืดยาวมาก แต่โดยภาคปฏิบัติทั่วๆ ไป วิปัสสนาญาณเกิดขึ้นเพียง ๒-๓ นาที อริยมัคคสมังคีก็สามารถเกิดขึ้นให้บรรลุอริยผลได้ เหตุนั้นแต่นี้จะแสดงวิปัสสนา เพื่อผู้ที่ยังไม่เข้าใจ ฟังแล้ว ได้ใคร่ครวญไปตาม เพื่อเกิดความเข้าใจ โดยจะแสดงตัวอย่างย่อๆ จากผู้ที่บำเพ็ญเป็นมาแล้วสัก ๓ ตัวอย่าง กับแสดงตามหลักวิสุทธิ ๗ และแสดงตามหลักปฏิจจสมุปบาท ตามสมควร