ภาวนาพุทโธคือทำให้เกิดสมาธิและจิตใจสงบ ให้เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานและนี่คือวิธีฝึกภาวนาพุทโธด้วยการกำกับลมหายใจโดยมีขั้นตอนอย่างมีระบบ ทั้งนี้การทำบริกรรมว่า พุทโธพุทโธ พุทโธ จะเป็นการให้เอาจิตไปตั้งมั่นอยู่ในบริกรรมดังกล่าวนั้น
และเมื่อจนชำนาญเต็มที่แล้วจะทำให้เราเป็นผู้ที่รู้ในตนเอง (Self Awareness) ทั้งนี้ ผู้ทำการภาวนาจะถูกฝึกให้พิจารณาพุทโธ กับผู้กล่าวพุทโธ และเมื่อพิจารณาเห็นเป็นคนละอันกัน จึงพึงจับเอาผู้ว่าพุทโธ ส่วนพุทโธนั้นจะหายไป เหลือแต่ผู้ว่าพุทโธอย่างเดียว
1. เข้าใจความหมายของ “พุทโธ”
หลายคนอาจภาวนาพุทโธโดยไม่รู้ความหมาย ทั้งนี้การภาวนาดังกล่าวมีความหมายอย่างลึกซึ้ง ดังนี้
“พุทโธ” คือ “ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน” โดย “ผู้รู้” คือ ผู้รู้แจ้งเห็นจริงตามความเป็นจริง
“ผู้ตื่น” คือ ตื่นจากความหลงงมงาย จากการหลอกหลวงของกิเลสตัณหา
“ผู้เบิกบาน” คือ เมื่อรู้แจ้งเห็นจริง ไม่หลง ไม่งมงาย ย่อมเป็นผู้เบิกบาน จิตไม่เศร้าหมอง
ภาวนาพุทโธประสานกายกับจิตแยกกายเหลือจิตใช้จิตรู้กาย
2. กำหนดลมหายใจเข้าออก
ในทางปฏิบัติแล้ว ช่วงการภาวนาพุทโธอย่างเดียวเท่ากับการใช้จิตตามรู้จิตเองโดยไม่จำเป็นต้องใช้กายเป็นสื่ออีกต่อไป แต่พอภาวนาพุทโธต่อไปเรื่อยๆขั้นนี้แหละที่ตัวจิตเด่นชัดขึ้นซึ่งจะพบตัวผู้รู้ผู้รู้กับคำภาวนาเป็นคนละส่วนกัน แล้วพบตัวผู้รู้แล้วให้ละคำภาวนาเสียแล้วจะพบเองว่าสิ่งที่ยังไม่สงบยังเคลื่อนที่อยู่ในตัวเรานั้นก็คือลมหายใจที่จะเด่นชัดขึ้นมาเอง เมื่อใช้จิตติดตามลมหายใจจะพบอาการไหวตัวของลมทำให้เรียนรู้กองลมได้
ลมหายใจเข้า “พุท” ลมหายใจออก “โธ” 10 ครั้ง
ลมหายใจเข้า “พุทโธ” ลมหายใจออก “พุทโธ” 7 ครั้ง
ลมหายใจเข้าลมหายใจออก “พุทโธ” 5 ครั้ง
ลมหายใจเข้าลมหายใจออก “พุทโธพุทโธพุทโธ” 3 ครั้ง
จากนั้นให้ “ภาวนาพุทโธ” อย่างเดียวโดยไม่ต้องจับลมหายใจ อีก
จากนั้นให้ละ “ภาวนาพุทโธ” ให้จิตจับที่ลมหายใจแล้วพิจารณากองลม
การภาวนาพุทโธติดกันด้วยการกำกับลมหายใจเข้าออกแต่ละครั้งก็เพื่อทำให้จิตที่ใช้ภาวนาพุทโธมีความเด่นชัดมากกว่าตัวลมหายใจของกาย ซึ่งหมายถึงการละกายไปสู่จิตทีละเล็กทีละน้อย ดังนั้นเมื่อวิเคราะห์วิธีการดังกล่าวจะพบว่าในช่วงแรกที่ทำการภาวนาพุทโธกำกับลมหายใจนั้นเป็นการใช้ของหยาบร่วมกับของละเอียดของหยาบ ซึ่งหมายถึงกายของละเอียดคือจิตเป็นการประสานนั่นเอง และกายกับจิตให้เจริญไปด้วยกันก่อนที่จะละกายไปสู่จิตก่อนที่จะเหลือแค่การบริกรรมภาวนาอย่างเดียวนั้น
3. เจริญสติ สมาธิและทำใจให้สงบ
สาเหตุที่เรียกว่า ศีล สมาธิ ปัญญา ก็เพราะการมีศีลเป็นเหตุแห่งสมาธิ การมีสมาธิเป็นเหตุแห่งปัญญา การมีปัญญาเป็นเหตุแห่งวิมุตติ โดยสมาธิเป็นสิ่งสำคัญเพราะเป็นที่ตั้งแห่งปัญญาและญาณ อันเป็นองค์สำคัญของมรรคของชาวพุทธ แต่ทั้งนี้ เราจะขาดสมาธิไม่ได้ เพราะถ้าขาดแล้วก็ได้แต่จะคิดๆ นึกๆ เอา ฟุ้งซ่านไปต่างๆ ปราศจากปัญญาสำคัญ ดังนั้นหากเปรียบเทียบแล้วสมาธิเปรียบเหมือนตะปู ปัญญาเปรียบเหมือนค้อนที่ตอกตะปู และถ้าตะปูเอียงไปค้อนก็ตีผิดๆ ถูกๆ ตะปูนั้นก็ไม่อาจที่จะทะลุกระดานนี้ฉันใด นี่คือสาเหตุว่าหากใจเราจะบรรจุธรรมชั้นสูงทะลุโลกได้เราจะต้องมีสมาธิเป็นหลักก่อน แล้วจึงเกิดญาณ โดยญาณนี้จะมีได้แต่คนทำสมาธิเท่านั้น ส่วนปัญญาย่อมมีอยู่ทั่วไปแก่คนทั้งหลาย แต่พวกเขาอาจไม่พ้นจากโลกได้เพราะขาดญาณ ฉะนั้นเราทั้งหลายควรสนใจ อันเป็นทางพ้นทุกข์อย่างถาวร
4. ตั้งจิตใจให้นึกถึงประโยชน์
ความมีสติกำหนดรู้ได้ในตัวเอง แต่ต้องใช้ให้เป็น ถึงจะเกิดประโยชน์ ใช้ไม่เป็นโทษ คือจะปล่อยจิตออกไปภายนอก จิตจะล่องลอย วิธีใช้ให้ถูกต้อง ขณะบริกรรมพุทโธ หายใจเข้าออกนั้น ให้กำหนดรู้ภายในตัวเอง ต้องหาพุทโธ ที่มีอยู่ภายในตัวเองให้เจอ อย่าไปหาพุทโธที่อยู่ภายนอก หรือไปมองหาพระพุทธเจ้าที่อยู่ภายนอก เป็นตัวเป็นตน นั้นไม่ถูกต้อง เพราะเป็นการปล่อยจิตปล่อยใจล่องลอยออกจากตัวไป เพราะนิพพาน ไม่ได้อยู่ที่ภายนอก นิพพานนั้นแท้จริงอยู่ในจิตใจเรานี่เอง หาให้เจอ เมื่อท่องพุทโธ จงกำหนดมองเข้ามาที่จิตที่ใจแล้วชั่งใจดูซิว่าจิตใจนั้นของเราถึง พุทโธแล้วหรือยัง ถ้ายังก็ปรับจิตใจให้เข้าถึงพุทโธนั้นเสีย พุทโธแท้ที่จริงนั้นก็คือตัวของเรานั่นเอง ที่จะต้องทำให้ถึงซึ่งพุทโธ ไม่ใช่ใครที่ไหนเลย ท่องพุทโธแล้วมองเข้ามาที่จิตใจเรา แล้วทำให้เข้าถึงพุทโธ เราก็จะได้พุทโธเอง เมื่อเราได้พุทโธแล้ว ต่อไปก็ไม่ต้องไปรักษาไปท่องจำอีกต่อไปแล้ว พุทโธจะเข้ามานั่งในจิตใจ ของเราเอง
การภาวนาพุทโธ ไม่ใช่งานหนัก ไม่ใช่งานยาก แต่มีคุณค่ามหาศาล เกินกว่าผู้ใดจะบอกได้ถูก ผู้ใดทำ ผู้นั้นจะได้เข้าใจตนเอง