เริ่มต้น “รู้”อย่างไร “ปฏิบัติ” อย่างไร
หลวงพ่อไม่ใช่พูดให้ฟัง แต่จะชี้ให้ดู เราต้องดูไปด้วย ส่วนมาก เราไม่ค่อยได้ดูกายดูใจตัวเอง ดูแต่ข้างนอก ไม่หันมาดูตัวเองเลยหลวงพ่อจะชี้ให้รู้จัก ก็ให้รู้จักตัวเอง ดูกาย ดูใจ ถ้ากายดี ใจดี อะไรๆก็ดีไปหมด
มาเน้นเรื่อง “สติ” หรือ รู้สึกตัวดูความรู้สึก เห็นความรู้สึกคำว่า “รู้อย่างไร”“ปฏิบัติอย่างไร”
นั่งอยู่อย่างไร ตอนนี้ รู้มั้ย นั่งอย่างไร ...... จึงสบาย นี่ก็เริ่มรู้ธรรมะแล้วนะนั่งถนัดมั้ย เกร็งเนื้อเกร็งตัวมั้ย ปวดเมื่อยมั้ย นั่งตามสบายเลย นั่งอย่างไร ถนัดดี นั่งอย่างไร ไม่ปวดเมื่อยง่าย นั่งตัวตรงๆ ขยับแข้งขยับขาให้มันสบาย รู้ได้ !นี่ เรียกว่า รู้กาย รู้สึกทางกายเลือดลมเดินสะดวก เป็นการบำบัดโรคไปในตัว
ทางใจ ก็มาดูความรู้สึก... หายใจเข้าออก ...... อัดอั้นมั้ย มีกลั้นมั้ย เป็นไปเพื่อไม่อั้น ไม่กลั้นหายใจเข้าออก ยาวๆ ปล่อยความรู้สึก ปลอดโปร่ง โล่ง เบา
หายใจอย่างไร จึงจะปลอดโปร่ง หายใจอย่างไร โล่งอกโล่งใจดี หายใจอย่างไร จึงจะเบาเนื้อเบาตัวดี หายใจอย่างไร มีชีวิตชีวาดี หายใจอย่างไร ตื่นเนื้อตื่นตัวดี รู้จักคลี่คลาย ผ่อนคลาย
ดูให้ต่อเนื่อง ..... ดูให้มันอยู่ตัว......ตรวจสอบทางกาย ก็ไม่เกร็งเนื้อเกร็งตัว จิตใจก็ไม่อั้นไม่กลั้น มีให้เราดูเยอะเลย เป็นไปเพื่อสบาย เป็นไปเพื่อสงบตื่นเนื้อ ตื่นตัว........ไม่อั้น ไม่กลั้น มันอิ่ม มันเต็ม เบิกบานแจ่มใส กระปรี้กระเปร่า ร่าเริง คล่องแคล่ว มีชีวิตชีวาสว่าง สะอาด สงบ พอเราดูอยู่อย่างนี้ มันจะหยุดความรู้สึกมันหยุด มันหยุดก็ไม่มีความคิดความเห็น มันเห็นความรู้สึก มีเพียงแต่รู้
รู้....ความรู้สึก เห็น....ความรู้สึกไม่ต้องมีวิพากษ์วิจารณ์ หรือ จินตนาการอะไร ความรู้สึกหยุด หรือพัก พักความรู้สึก ไม่มีอะไร อยากก็ไม่มี ไม่อยากก็ไม่มี ยินดียินร้าย ..... ไม่มี จิตใจไม่มีหมกมุ่นเกาะเกี่ยวกับอะไร ดูอะไรๆ ก็ดูเฉยๆ เป็นสักว่า สักว่าความรู้สึกจะไม่ถูกปรุงแต่งความรู้สึกอย่างนี้ จึงเรียกว่า สงบไม่ต้องทำอะไร ไม่ต้องไปละอะไร รู้อย่างนี้มันละหมดเลย มันวาง มันเบา ไม่ไปยึดติดกับอะไร มันถอนออกจากอะไรๆ เรียกว่า จิตเป็นอิสระรู้เฉยๆ รู้ เท่านั้นเอง จิตมันหยุดแล้ว มันรู้เลย รู้ตรงนี้ มันจบ นี่แหละ ธรรมะ
ตาดู หูฟัง อะไร ก็ยังเห็นความรู้สึกอยู่ ไม่มีอะไร เห็นความรู้สึก มันว่าง รู้ ตื่น ว่าง นั่งอยู่ ขยับแข้งขยับขา ก็สบายนี่แหละ ความสุข ก็ไม่มีทุกข์ รู้อย่างนี้ ก็ไม่มีทุกข์ เป็นปกติ ธรรมดา ดูให้ต่อเนื่อง ดูให้มันอยู่ตัว แล้วก็เคลื่อนไหวไป พลิกมือขึ้นช้าๆ ยังเห็นอยู่ เอาขึ้นมาอย่างนี้ก็ยังเห็น ไม่มีอะไร ทำช้าๆ ไม่ต้องไปดูมือนะ ดูความรู้สึก ก็ยังไม่มีอะไร หายใจก็โปร่งเบา ไม่อั้นไม่กลั้น ถ้าอั้นกลั้น มันยึดแล้ว
รู้ได้ทั้งตัวเลย รู้ได้ นี่แหละ พุทธะ รับรองไม่มีทางเป็นอะไรๆ มันไม่เป็นอะไรทั้งนั้น เข้าถึงธรรมชาติล้วนๆ หรือ ธรรมชาติบริสุทธิ์ หรือ จิตที่ผ่องแพ้ว ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข นั่นแหละ ยิ่งกว่าสุข พ้นทุกข์พ้นภาระ จิตใจไม่มีภาระมันหมดปัญหา หมดสงสัย แล้วก็เป็นธรรมดาๆ
คนเราเวลาปฏิบัติธรรม มักจะมุ่งให้มันได้อะไรๆ แต่ไม่เห็นธรรมดาๆอย่างนี้ คือต้องมีสิ่งที่วิเศษกว่านี้ มันไม่มีอะไรดีกว่านี้ มีแค่นี้แหละ คอยประคับประคอง เบาๆ มันคอยจะแว๊บออกไป ถ้าไม่รู้มันก็เกิด ถ้ารู้มันก็ดับ คอยรู้ไว้ รู้ปุ๊บดับปั๊บ ทำให้ต่อเนื่อง ดูไปเรื่อยๆ ตอนนี้ที่ดูนี่ ไม่มีทุกข์ ไม่มีภาระ ก็พอใจตรงนี้ มันจะไม่คิดที่จะแสวงหาอะไรอีก ไม่มีไปไม่มีมา ดูให้ต่อเนื่องเรื่อยๆ
หลวงพ่ออยากจะชี้ให้ดูตรงนี้ ให้รู้จักตรงนี้ รู้ได้ ไม่ใช่เราต้องรู้ มันเป็นภาระแล้ว มันจะหนัก มันจะยึด ไม่เกร็ง มันจะเบา จะรู้สึกสบาย จะมีความสุข ความรู้สึกโปร่ง โล่ง เบา กายก็เบา ใจก็เบา พอเราเผลอไปต้องกลับมาทบทวนตรงนี้ ถ้าไม่รู้อย่างนี้แสดงว่า ผิดแล้วพอมันเผลอจะเกิดหงุดหงิด ร้อนอกร้อนใจ เราจะเห็นมันเกิด
ถ้าสติต่อเนื่องจริงๆ เราจะเห็นก่อนเกิด เหมือนน้ำในโอ่งมันมีตะกอน ถ้าเราเอาขันไปจ้วงแรงๆ ตะกอนมันจะขึ้นมาด้วย ต้องเบาๆ เราจะเห็นตะกอนมันค่อยๆฟุ้งขึ้นมา เหมือนจิตของเรา อารมณ์มันเกิดขึ้นมาอย่างไร พอเรารู้เท่านั้น มันจะสิ้นไป นี่แหละญาณ
ญาณแปลว่า สิ้นไป สิ้นไปซึ่งอาสวะ
ญาณแปลว่า สิ้นไป สิ้นไปซึ่งอาสวะ พอเราเห็นชินๆ เห็นตรงนี้ชินๆ หมดเลย ไม่มีอะไรเกิด ไม่มีอะไรดับ หมดกิจ เสร็จกิจ กิจอื่นก็ไม่มีอีกแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายแล้ว ความเกิดอีกไม่มีแล้วเอาอะไรไปเกิด ถ้าถามว่าตายแล้วไปไหน ก็ดูตรงนี้
มันก็ไม่มีอะไรเกิด มีเพียงแต่รู้ รู้แล้วก็เห็นความเป็นไป ตายก็ไม่มี ก็เห็นเพียงความเป็นไป มันเจ็บมันปวดก็เห็นมันเจ็บมันปวด ก็ดู ก็เฉยต่อความเจ็บความปวดแต่ก็เป็นไปแบบสบาย ดูแบบสบายๆ หรือดูแบบเฉยๆ สบายหรือสบายหรือไม่สบายเราก็เฉยได้ อยู่เหนืออะไรหมด โลกุตรธรรมคืออยู่เหนือโลก
มันไม่ยาก แต่ทำให้ต่อเนื่องต้องใช้เวลา ถ้ายังไม่ต่อเนื่องเลยต้องมาเจริญสติ จึงเรียกว่า มาฝึกสติที่เราเห็นความรู้สึก นั่นแหละ มีสติเป็น สัมมาสติ เพราะมันปล่อย มันวาง มันเบา ถ้าไม่รู้อย่างนี้มันหนัก
รับรองติดตามหลวงพ่อไม่นานเลย ต้องมาเน้นมาย้ำตรงนี้บ่อยๆ ให้มันรู้ตรงนี้ เห็นตรงนี้
ดูความรู้สึก เห็นความรู้สึก
รูปนี้มันของจีนสมัยก่อน หลวงพ่อก็สอนอันนี้ มาเข้าใจ มารู้จัก อันนี้พอดีเขามาแสดงรูปนี้ เลยมาสนับสนุนหลวงพ่อขึ้นอีก หรือมาเป็นพยานนั่นเอง ว่าที่หลวงพ่อชี้ชี้ให้ดูความรู้สึกนี่ มันตรงกัน มันอันเดียวกัน ไม่ใช่หลวงพ่อพูดขึ้นมาลอยๆ ท่านผู้รู้สมัยนั้น เขาพูดกันมาตั้งสองพันกว่าปีแล้ว พอมาๆมันเลือน หายไปหมดเลย มันไม่มีแล้ว หรืออาจมีแต่มีน้อย แล้วก็ดูเอาเอง ไม่ต้องมาเชื่อหลวงพ่อ ไม่ต้องมาเชื่อคนโบราณด้วย
จริงๆมันเป็นธรรมชาติ เป็นเป็นเพียงภาวะธรรมเท่านั้น มันไม่ใช่ตัวเรา มันเป็นเพียงความรู้สึก หรือ ภาวะของความรู้สึก อยู่ในกายของเรานี่เองและตัวรู้อีกตัวหนึ่งถึงให้มาดูความรู้สึก
ตัวใหญ่นี้หมายถึง ตัวความรู้สึก ตัวข้างล่าง หมายถึงให้มาดูความรู้สึก ดูความรู้สึก จึงเห็นความรู้สึก
“ความรู้สึก” สักว่าเป็นความรู้สึก
ผู้รู้ก็เห็นความรู้สึกอันนี้จึงเขียนภาพนี้ขึ้นมา พอเห็นความรู้สึกจึงเห็นว่าเป็นธรรมชาติ หรือเป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัวเรา
ส่วนมากคนเรา เป็น “ เรารู้สึก ” เลยเข้าใจว่า ตัวความรู้สึกนี่เป็นตัวเรา เรารู้สึกยินดี เรารู้สึกยินร้าย เรารู้สึกเป็นทุกข์เป็นสุข นี่เราก็มาหลง หลงความรู้สึกอันนี้ เราไม่รู้จักความรู้สึกอันนี้ มันจะซับซ้อนหน่อยความรู้สึกตัวนี้
ธรรมดามันจะเฉยๆ แต่ถ้าเป็นเรารู้สึกจะถูกปรุงแต่งเลย ตัวรู้สึก(ตัวใหญ่)นี่ก็หมายถึง มีหู มีตา มีจมูก มีลิ้น มี กาย มีใจ เวลากระทบสัมผัสต่างๆมันเพียง รู้เท่านั้นเอง รู้แล้วก็จะไม่มี ไม่มียินดียินร้าย สงบไม่สงบ พอใจไม่พอใจ มันจะไม่มี ถ้าเป็นเรารู้สึก มันจะมีทันทีเลย เกิดโลภะ โทสะ โมหะ โมหะแปลว่าไม่รู้ความจริง
ไม่รู้ความจริงว่าตัวนี้น่ะ มันเป็นธรรมชาติ เป็นความรู้สึก ไม่ใช่ตัวเรา ต้องให้เห็นอย่างนี้ว่า ไม่ใช่ตัวเรา มันเป็นเพียง “ความรู้สึก” สักว่าเป็นความรู้สึก ถ้าเป็นเรารู้สึกมันจะปรุงแต่งเลย ตรงกับหลวงพ่อเทียนต่างกันที่คำพูด ท่านบอกว่าให้ดูความคิด อันนี้เข้าไปอยู่ในความคิด ก็เข้าไปอยู่ในความรู้สึกนั่นเอง