สำหรับแนวทางกรรมฐานทั้งหมดนั้น โดย
สติ(ความระลึกได้) กับ
สมาธิ(ความว่างจากอารมณ์, ความสงบ) นั้น จะคล้ายๆกัน ต่างกันเพียงอารมณ์ที่นำมาเป็นกรรมฐาน สติก็คอยระลึกถึงอารมณ์กรรมฐานนั้น ส่วน สมาธิ คือ ความว่างจากอารมณ์อื่นๆที่ไม่ใช่สิ่งที่สติกำลังระลึกรู้ก็จะเกิดขึ้น เมื่อมากเข้าก็จะกลายเป็นความสงบ ความสงบก็คือ ภาวะที่สติระลึกรู้สิ่งใดสิ่งหนึ่ง (ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์ที่มีการเคลื่อนไหว หรือ อารมณ์ที่สงบนิ่ง)จนจิตตั้งมั่นเป็นหนึ่งเดียว
ส่วนเรื่องของ
"ปัญญา" นี้ จะแบ่งออกได้คร่าวๆเป็นสองแบบคือ
1.แบบที่ใช้ปัญญาพิจารณาสภาวะเพื่อให้จิตจดจำอาการ เช่น การเฝ้าดู ลมหายใจ ความรู้สึก ความคิด เกิดๆดับๆ เมื่อจิตเห็นอาการเหล่านี้บ่อยๆเข้าก็จะเกิดความเคยชินในการที่จะสลัดหรือไม่ยึดติดในสิ่งเหล่านี้ไปเอง (เหมือนนักกีฬาที่ฝึกทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งซ้ำๆกันบ่อยๆเข้า จนกระทั่งร่างกายเกิดปฏิกิริยาตอบสนองแบบเป็นอัตโนมัติโดยที่บางทีไม่ต้องคิดจะทำด้วยซ้ำ ต่างกันเพียง สำหรับนักฝึกจิตแล้ว สิ่งที่ฝึกทำซ้ำๆกันคือ สภาวะจิตใจ มิใช่ร่างกาย)
2.แบบที่ใช้ปัญญาในทางความคิด ขบคิดพิจารณาให้เห็นถึงเหตุและผล รวมถึงปัจจัยของสิ่งที่ตนระลึกถึงต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ครอบคลุม ด้วยภาวะจิตที่เป็นสมาธิ วิธีนี้เป็นเหมือนการสะกดจิต หรือ การแก้ไขสภาวะจิตใต้สำนึก ที่อาจจะมีความเคยชินในสิ่งใดสิ่งหนึ่งมายาวนาน หรือ มีการเก็บกดหลบซ่อนอารมณ์บางอย่างเอาไว้ภายใต้จิตใจลึกๆ การถูกกระตุ้นด้วยการคิดพิจารณาในเรื่องราวนั้นๆในแง่มุมต่างๆ จะเป็นการขุดคุ้ยเอาอารมณ์ที่แฝงตัวหลบซ่อนอยู่ลึกๆนั้นให้บังเกิดแสดงตัวขึ้นมา จากนั้นก็ใช้สติปัญญาในการพิจารณาเรื่องราวนั้นๆให้เห็นตามความเป็นจริงอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง จนจิตคลายความสงสัยและคลายความยึดติดในสิ่งนั้นลงไป
ในเรื่องของ "สติ" กับ "สมาธิ" นั้น ไม่ค่อยมีปัญหาสักเท่าไหร่ แล้วแต่จริตหรืออุปนิสัยของแต่ละคนว่าจะปฏิบัติแนวทางใด แต่สำหรับในเรื่องของ "ปัญญา" นั้น อาจจะ
มีการถกเถียงกันอยู่บ้าง ว่าแบบใดเป็นปัญญาที่ใช้ในการตัดกิเลสได้จริงๆ โดยส่วนตัวแล้วพิจารณาเห็นว่า ทั้งสองวิธีนั้นก็เป็นวิธีที่ถูกต้องแล้วก็ควรที่จะปฏิบัติควบคู่กันไป โดยพิจารณาตามสภาวะจิตหรือสภาพอารมณ์ของนักปฏิบัติในขณะนั้นๆว่า ควรจะทำเช่นไรจึงจะเหมาะ หากพิจารณาให้ดีๆและลึกๆแล้ว อารมณ์กรรมฐานในเรื่องของปัญญาทั้งสองแบบนั้น จะมีส่วนเชื่อมโยงเกี่ยวข้องกันอยู่ ดังคำที่ว่า ในความมืดมีความสว่าง หรือ ในความสว่างก็มีความมืด อยู่ สำหรับลักษณะอาการของจิตที่ใช้ปัญญาทั้งสองแบบก็เช่นเดียวกัน การที่ "ปัญญา" จะใช้ได้ผลนั้น ในแต่ละแบบขณะพิจารณานั้นก็จำเป็นต้องใช้ปัญญาในอีกแบบหนึ่งมาเสริมเข้าด้วยกัน จึงจะเป็นปัญญาที่สมบูรณ์ได้
โดยสรุปรวบยอดของกรรมฐานทุกกรรมฐานในโลกนี้นั้น ก็หนีไม่พ้นและตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของ 3 เรื่องนี้ คือ สติ สมาธิ และ ปัญญา นั่นแหละ