Recent Posts

การปฏิบัติกรรมฐานวัดมเหยงค์ (4ขั้น)


     การปฏิบัติกรรมฐานสำหรับสำนักปฏิบัติกรรมฐานวัดมเหยงค์นั้น ก็ไม่ได้กำหนดให้ผู้ปฏิบัติตายตัวทีเดียว เพราะว่าอัธยาศัยของแต่ละท่านไม่เหมือนกัน การสั่งสมอินทรีย์บารมีมาไม่เหมือนกัน

     ถ้าเรากำหนดตายตัว ในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง คนที่อัธยาศัยถูกกัน ก็จะทำไปได้ ส่วนคนที่อัธยาศัยไม่ถูก ไม่เหมาะสม ก็ไปด้วยความลำบากติดขัด

     ฉะนั้น ที่สำนักกรรมฐานวัดมเหยงค์ จึงมีการให้โอกาสในการปฏิบัติได้กว้างขวางขึ้น ก็จะแบ่งเป็นว่า จะใช้รูปแบบวิธีการดำเนินได้ทั้ง ๓ แนวทางด้วยกัน

     แบบที่ ๑ ก็คือ “สมถบุพพังคมวิปัสสนา” การเจริญวิปัสสนาที่มีสมถะนำหน้า ก็หมายถึงว่าต้องเจริญทำสมาธิก่อน ฝึกจิตใจให้เข้าถึงสมาธิ ให้ได้สมาธิในระดับแนบแน่นในอารมณ์ ได้ฌานในระดับต่าง ๆ แล้ว จึงค่อย ยกองค์ฌานมากำหนดพิจารณาไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ที่จะมาเป็นวิปัสสนา บุคคลที่มีอัธยาศัย สมถยานิกะก็ใช้ วิธีการดำเนินแบบนี้ ทำสมาธิก่อน ทำสมถะก่อน แล้วค่อยต่อวิปัสสนาภายหลัง

     แบบที่ ๒ ก็คือ “วิปัสสนาบุพพังคมสมถะ” การเจริญสมถะที่มีวิปัสสนานำหน้า ก็คือเจริญวิปัสสนาไปเลย เริ่มต้นก็เจริญวิปัสสนา กำหนดดูรูป ดูนาม ดูสภาวะ ดูปรมัตถ์ต่าง ๆ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ตรง ๆ และเมื่อฝึกไปจนกระทั่งสติเท่าทัน วางใจเป็นกลาง สมาธิก็บวกขึ้นมา มีสมาธิขึ้นมาในภายหลัง อันนี้เขาเรียกว่าบุคคลที่มี วิปัสสนายานิกะ อัธยาศัยมาทางเจริญวิปัสสนาได้ ก็ทำวิปัสสนาไปเลย สมาธิก็จะตามมาภายหลัง

     แบบที่ ๓ ก็คือ “ยุคนันทสมถวิปัสสนา” คือการเจริญสมถะและวิปัสสนาควบคู่กันไป สำหรับบุคคลที่ทำแบบที่ ๑. ก็ไม่ถนัด จะทำสมาธิ ทำสมถะให้ได้ฌานก็ไม่ไหว แบบที่ ๒.จะเจริญวิปัสสนา ดูรูป ดูนาม ดูสภาวะไปเลย ก็ตั้งหลักไม่อยู่ จิตมันไหลไปหมด ก็มาเจริญในรูปแบบที่ ๓. เจริญสมถะวิปัสสนาควบคู่กัน ทำสมาธิด้วย ดูสภาวะ ดูรูป ดูนามพิจารณาสภาวะไปด้วย แบบนี้ก็จะทำให้ผู้ที่มีอัธยาศัยในแบบที่ ๓. ก็จะทำไปได้จึงได้มีวางเป็นขั้นตอนของการปฏิบัติไว้ ๔,๕ ขั้นตอนด้วยกัน

     ขั้นตอนที่ ๑ การกำหนดบัญญัติเป็นอารมณ์ เริ่มแรกๆก็ใช้กำหนดบัญญัติไปก่อน ไม่ว่าจะกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก หรือจะกำหนดท้องพองยุบก็ตาม เดินจะกำหนดขวาซ้าย ยก ย่างเหยียบ หรือจะใช้บัญญัติอื่น ๆ เข้ามาซึ่งอยู่ในเรื่องของการใช้คำบริกรรม จะบริกรรมกำหนดภาษาบริกรรมใด ๆ ก็ตามที่เห็นว่าเหมาะสมกับตนเองก็เอามาใช้ การใช้บัญญัติที่เป็นรูปร่างสัณฐาน บัญญัติที่เป็นความหมาย อย่างเช่น การกำหนดพองยุบก็มีความหมายอารมณ์อยู่ การกำหนดขวาซ้ายก็มีความหมายอยู่ การกำหนดพุทโธ การกำหนดรู้ว่าลมหายใจเข้าลมหายใจออก ยาวสั้นก็มีความหมายอยู่ หรือมีรูปร่างสัณฐาน 
นั่งอยู่ก็อาจจะเห็นในท่าทางของกายที่นั่ง หรือว่ามีทั้งสภาพบัญญัติ หรือภาษาหรือคำบริกรรม อรรถะบัญญัติ ซึ่งมีรูปร่างและก็มีความหมาย อันนี้เป็นขั้นตอนที่ ๑. ที่ให้ใช้ไปก่อน เมื่อใช้รูปแบบที่ ๑. คือกำหนดบัญญัติ จนจิตใจอยู่กับเนื้อกับตัวได้ดี ก็จะเลื่อนชั้นไปสู่ขั้นตอนที่ ๒.

     ขั้นตอนที่ ๒ คือ การกำหนดปรมัตถ์โดยเจาะจง เข้าไปรู้ตัวสภาวะ คือ สภาพที่เป็นจริง ที่เรียกว่าปรมัตถ์ หรือเรียกว่า รูปธรรม นามธรรม หรือ ขันธ์ ๕ แต่ว่าเป็นการกำหนดในบางส่วนของกาย เช่น คนที่เคยกำหนดท้องพองยุบ ก็เข้าไปรู้สังเกตที่ อาการที่มันไหว ความไหวๆตึงๆหย่อนๆอันนี้เป็นตัวสภาวะปรมัตถ์ หรือคนที่เคยดูลมหายใจเข้าออก ก็จะไปสังเกตที่ความรู้สึก ของลมที่กระทบ สัมผัส หายใจเข้ากระทบ หายใจออกรู้สึกกระทบ หรือว่าหายใจเข้ารู้สึกสบาย หายใจออกรู้สึกไม่สบาย อันนี้คือการเข้าไปรู้ปรมัตถ์ แต่ว่าเป็นปรมัตถ์โดยเจาะจง คือเป็นบางส่วนของกาย หรืออย่างการเดิน ในขั้นตอนที่ ๑. เราเคยกำหนดขวาซ้าย ต่อมาขั้นตอนที่ ๒ กำหนดปรมัตถ์ จะต้องเข้าไปสังเกตดูความรู้สึก อย่างเช่น ฝ่าเท้ากระทบพื้น สัมผัสรู้สึกแข็ง รู้สึกเย็น รู้สึกร้อน เป็นต้น กดลงไปข้อเท้าตึงน่องตึง พอยกขึ้นมาก็หย่อน ก้าวไปรู้สึกไหวอย่างนี้ เรียกว่าไปรู้ปรมัตถ์ ความตึง หย่อน ไหว เย็นร้อน เป็นตัวปรมัตถธรรม เป็นตัวสภาวะ แต่ว่ากำหนดเฉพาะบางส่วน จะเป็นที่เท้า ที่ขา ตอนนี้ก็ทำไปก่อน ให้รู้จักปรมัตถธรรม ทีนี้เมื่อฝึกไป จิตใจเริ่มรู้จักสภาวะก็ให้เลื่อนชั้นไปสู่ขั้นตอนที่ ๓.

     ขั้นตอนที่ ๓. คือการกำหนดปรมัตถ์โดยทั่วไป ก็คือการกำหนด ตัวสภาวะปรมัตถ์ อย่างทางกายก็จะมีความเย็น ความร้อน อ่อน แข็ง หย่อน ตึง ความรู้สึกสบาย ไม่สบาย แต่ว่าระลึกรู้ไปทั่ว ๆ ตัว ขยายรับรู้ไปทั่วตัว เวลานั่งก็รู้ไปทั้งหมด ไม่ว่าจะมีกายส่วนไหน ที่มีกายประสาท ก็จะรับสัมผัสความเย็น ความร้อน อ่อน แข็ง หย่อน ตึง รู้สึกสบาย ไม่สบาย หรืออย่างเวลาเดิน เคยเดินกำหนดเฉพาะที่รู้สึกที่เท้าที่ขา ก็หัดระลึกรู้ทั้งตัว ส่วนสะโพกก็มีความไหว มีความรู้สึก ลำตัวก็มีความรู้สึก รู้เมื่อรู้ทั่วๆกายๆแล้ว ก็เพิ่มไปรู้ที่ใจด้วย เพราะว่าจริงๆแล้วในสังขาร ไม่ใช่มีแต่ทางกาย มันมีสภาวะทางใจ ทางใจก็จะมีจิตใจที่เป็นตัวรับรู้ ใจมีสติ ใจคิด ใจนึก ใจรู้สึกอย่างไร สบายใจไม่สบายใจ ชอบใจไม่ชอบใจ จะต้องระลึกรู้ ตลอดทั้งการรู้ไปทั่วถึงทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ การเห็น การได้ยิน รู้กลิ่น รู้รส รู้สัมผัส คิด นึก เป็นต้น เรียกว่ารู้ปรมัตถ์โดยทั่วไป เมื่อฝึกแล้วสติเท่าทันต่อสภาวะได้มากขึ้น ว่องไว เท่าทัน ต่อไปก็เลื่อนชั้นไปสู่ขั้นตอนที่ ๔

    ขั้นตอนที่ ๔. เรียกว่า รู้ ละ วาง ก็คือ การรู้จักปรับความเป็นกลางขึ้น ก่อนหน้านั้นแม้นว่าจะมีสติว่องไว เท่าทัน ก็จริง แต่ว่าบางทีมันยังมี การจ้อง การจับอารมณ์ มีการเพ่ง ควบคุม บังคับ ก็หัดมาสู่การปล่อยวางมากขึ้น การรู้อย่าง ละ วาง ,การรู้อย่าง สักแต่ว่า ,การรู้อย่าง วางเฉย, การรู้อย่าง ไม่เอาอะไร 
     ฝึกการปล่อยวางมากขึ้น หยุดใจไว้นิ่งๆ ไม่ต้องวิ่งไปตามอารมณ์ แต่ว่าอารมณ์คือสภาวะทั้งหลาย มันจะเข้ามาปรากฏให้รู้เอง เมื่อฝึกถึงการรู้ ละ วาง ได้ดี ก็จะมีญาณความรู้ความเห็นในธรรม วิปัสสนาญาณก็จะเกิด ทำให้เห็นสภาวะความเปลี่ยนแปลง ความหมดไป ดับไป ความบังคับไม่ได้ ความไม่ใช่ตัวตน
     ความเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยของธรรมชาติเหล่านี้ อันนี้แหละ ก็จะเข้าถึงการสู่การวิปัสสนา ที่จะเป็นทางเดิน ที่จะเป็นแนวทาง ตลอดระยะเวลาของวิปัสสนาญาณที่แล่นไป จะต้องมีสภาวะเป็นรูป เป็นนาม เป็นปรมัตถ์ เป็นสภาวะที่กำลังปรากฏเป็นปัจจุบัน เห็นความหมดไป ดับไป สิ้นไปอยู่เสมอๆ ก็จะไปสู่วิมุตความหลุดพ้น เข้าถึงความรู้แจ้ง เข้าถึงการดับไปไม่เหลือแห่งทุกข์ได้ 

หลวงพ่อสุรศักดิ์ เขมรังสี
วัดมเหยงคณ์ พระนครศรีอยุธยา