การเดินจงกรมนั้นมีวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกันไป สุดแท้แต่วิธีเดิน และการวางใจขณะเดิน จะทำให้
จิตเป็นสมาธิอยู่ในอารมณ์เดียวก็ได้ จะเป็นไปเพื่อ
การเจริญสติก็ได้
ถ้าเป็นการเดินเพื่อเจริญสติ ก็เพียงแต่
รู้ตัวว่ากำลังเดินอยู่ ไม่ถึงกับให้จิตแนบอยู่กับเท้าที่ก้าวเดิน และไม่เก็บรายละเอียดของผัสสะที่เกิดขึ้น แต่ไม่ว่ามีผัสสะทางไหนก็รู้ทัน เช่น ระหว่างที่เดิน เกิดเผลอคิดไป ก็รู้ทันความคิดนั้น
ที่คุณพูดมาเกี่ยวกับการเดินจงกรมนั้นถูกต้องแล้ว อย่างไรก็แต่การเจริญสติและสร้างความรู้สึกตัวนั้นยังอยู่ในการภาวนาที่เรียกว่าอธิจิตสิกขา หรือสมถกรรมฐาน คือ เมื่อมีสติหรือรู้สึกตัว ก็ทำให้ใจสงบ ไม่ถูกรุมเร้าด้วยอารมณ์ที่เป็นอกุศลหรือแส่ส่ายเพราะคิดฟุ้งซ่าน
แต่การเดินจงกรมยังสามารถเป็นวิธีพัฒนาปัญญา เรียกว่าอธิปัญญาสิกขาหรือวิปัสสนากรรมฐานได้ คือ
เมื่อมีสติ ใจเป็นกลาง อยู่กับปัจจุบัน ก็สามารถเห็นกายและใจตามที่เป็นจริง เห็นว่า ที่เดินนั้น คือรูป ที่คิดนั้นเป็นนาม ไม่ใช่ “ฉัน” เดิน หรือ “ฉัน” คิด การเห็นความจริงเช่นนี้ จะช่วยลดการปรุงแต่งว่ามี “ตัวกู” หรือลดความยึดติดถือมั่นในตัวตนได้
ในทำนองเดียวกัน การนั่งสมาธิ หรือภาวนาในอิริยาบถนั่ง ก็สามารถใช้เพื่อทำให้ใจสงบ เป็นสมถกรรมฐาน หรือทำให้ใจสว่าง เกิดปัญญา เป็นวิปัสสนากรรมฐานก็ได้ สุดแท้แต่ว่าจะวางใจอย่างไร ซึ่งเป็นเรื่องเดียวกับการเดินจงกรม
พระไพศาล วิสาโล