Recent Posts

ความรู้สึกจะนำหน้าสติ [พระชาญวิทย์]


ใช้สตินำหน้าความรู้สึก จากนั้นความรู้สึกจะนำหน้าสติ

     การเจริญสติ ด้วยการมีสติรู้สึกตัวทั่วพร้อมนั้น แรกๆ ผู้ปฏิบัติอาจจะมีความรู้สึกเหมือนกับว่า เราต้องคอยนึก คอยระลึกนึกถึงร่างกายอยู่เสมอๆ เหมือนกับว่าเราต้องคอยเตือนตัวเองอยู่เสมอว่าให้คอยมองกลับเข้ามาภายในร่างกาย


     เมื่อเราเจริญสติเช่นนี้ไปเรื่อยๆ เราจะเริ่มรู้สึกได้ถึงความรู้สึกและสภาวะธรรมต่างๆที่อยู่ภายในร่างกาย (ไม่ใช่เพียงแค่รับรู้ถึงกรอบของร่างกายแต่เพียงอย่างเดียว) โดยบางคนอาจจะสัมผัสได้ถึงสภาวะความรู้สึก เกิด-ดับ หรือ ชีพจรที่เต้นอยู่ทั่วร่างกาย ลมหายใจที่เข้าออก ความรู้สึกอบอุ่นหรือความร้อน (ธาตุไฟ) ในร่างกาย

     ในบางเวลาผู้ปฏิบัติอาจสัมผัสได้ถึงสภาวะธรรมแปลกๆ เช่น เหมือนมีกระแสไฟฟ้าแผ่กระจายอยู่ในร่าง หรือ เหมือนมีคลื่นพลังงานบางอย่างวนเวียนอยู่ภายใน ฯลฯ ซึ่งโดยมากแล้วสภาวะแปลกๆเหล่านี้จะไม่ได้เกิดตลอดเวลา แต่จะเกิดเป็นช่วงๆ แล้วก็จะค่อยๆหายหรือดับไปเอง(เมื่อผู้ปฏิบัติไม่ได้ไปให้ความสนใจหรือปล่อยวางสภาวะนั้นไป)

     บางคนอาจจะรู้สึกเจ็บจี๊ดๆตามส่วนต่างๆในร่าง หรือ รับรู้ได้ถึงอาการปวดเมื่อยต่างๆ หรือ บางทีก็จะรู้สึกตึงๆที่ศีรษะเหมือนมีก้อนพลังงานไปอัดแน่นอยู่ในนั้น(ขอให้สังเกตให้ดีจะพบว่า แตกต่างจากอาการปวดหัวเวลาเป็นไข้หรือปวดหัวแบบเป็นไมเกรน จะรู้สึกเหมือนมีก้อนพลังงานอยู่ในหัวแต่ไม่เจ็บปวด)

     บางขณะอาจรู้สึกได้เหมือนกับว่าก้อนพลังงานที่แผ่ไปทั่วร่างและที่ศีรษะนี้ กำลังผลักดันหรือกำลังทะลุทะลวงอะไรสักอย่างภายในศีรษะของเรา (จนบางครั้งชีพจรที่ศีรษะจะเกิดอาการเต้นตุ๊บๆไปทั่วๆ ทั้งๆที่จิตภายในของเรากำลังสงบราบเรียบและสบายอยู่)

     ซึ่งสภาวะเหล่านี้ หากเราตกใจหรือไปคิดกังวล ก็จะทำให้จิตเกิดอาการฟุ้งซ่านจนทำให้ส่งผลกระทบถึงร่างกายได้ (หากพลังงานในร่างกายที่ไหลเวียนอยู่ในตัวเรานั้นมีเยอะเกินไป ซึ่งไม่ใช่ทุกคนที่จะเป็น....ดังนั้นไม่ต้องกังวล)

     วิธีการวางอารมณ์ที่ถูกคือ ให้เราประคองจิตให้วางเฉย และตามรู้ตามดูสภาวะความรู้สึกที่เกิดขึ้นทั่วร่างกาย รวมทั้งที่เกิดที่ภายในศีรษะของเราด้วย โดยพยายามไม่เข้าไปปรุงแต่งหรือไปป้อนโปรแกรมในทางที่ไม่ดีเข้าไป (เพราะจิตที่กำลังอยู่ในสมาธิเป็นจิตที่มีกำลัง และการคิดว่าเป็นอะไรหรือเป็นโรคอะไร มันจะเป็นเหมือนการป้อนโปรแกรมให้กับจิตใต้สำนึกหรือจะกลายเป็นว่าพลังงานทางจิตไปสั่งการให้ร่างกายเป็นเช่นนั้น) ไม่ว่าอาการเต้นตุ๊บๆ หรือ มีกระแสไฟแล่นแปล๊บๆ จี๊ดๆเกิดขึ้น ก็ไม่ต้องตกใจ นิ่งประคองปล่อยวางผ่านอารมณ์กลัวให้ได้ (แต่ก็ไม่ต้องพยายามเพ่งให้เห็นความรู้สึกชัดๆ)

     หากเราประคองอารมณ์ได้ถูกต้อง สภาวะที่เกิดขึ้นนี้จะค่อยๆเบาบางลง เหมือนกับว่าในศีรษะของเรามีอะไรที่ติดขัดอยู่ แล้วมีน้ำมาดันขยายให้ช่องทางนั้นเปิดกว้างออก

     หากเราผ่านสภาวะนี้ได้ หัวสมองเราจะรู้สึกโล่ง และโปร่ง อาการเต้นตุ๊บๆหรือสภาวะจี๊ดๆแปล๊บๆเหมือนไฟฟ้าช๊อตต่างๆ จะค่อยๆเบาบางลง แต่ก็ยังคงมีอยู่ แต่เราจะไม่รู้สึกอึดอัดหรือแน่นๆแล้ว

     หลังจากนั้นเราจะพบว่าการมอง หรือ การพิจารณาสิ่งใดๆก็ตาม การคิดอ่านของเราจะเหมือนได้รับการเปิดกว้างและรับรู้ได้ถึงประสิทธิภาพในการรับรู้ข้อมูลหรือการคิดพิจารณาต่างๆมากขึ้น และประสาทสัมผัสในการรับรู้กระแสพลังงานหรือธรรมชาติต่างๆรอบตัวก็จะมีความละเอียดอ่อนขึ้น ยามที่เข้าไปอยู่ใกล้กับใครหรืออยู่ในสถานที่ใด จะเหมือนกับว่าเราสามารถรับรู้ได้ถึงกระแสหรือบรรยากาศที่อยู่รอบๆตัวบุคคลนั้น หรือ ที่อยู่ในสถานที่นั้นได้ชัดเจนขึ้น (ซึ่งจะส่งผลเกิดเป็นสภาวะความสบายบ้าง อึดอัดบ้าง เกิดอารมณ์หรือสภาวะต่างๆเกิดขึ้นในร่างกายของเราให้ได้รับรู้ แต่ว่าอารมณ์ กระแส หรือสภาวะเหล่านี้จะแยกอยู่ภายนอกต่างหาก ไม่ได้มีความรู้สึกว่าเข้ามาภายในจิตหรือหลอมรวมกับตัวเรา ทำให้เราแยกได้ชัดเจนถึงกระแสจิตที่มาจากภายในกับที่มาจากภายนอก)

     การเจริญสติรู้สึกตัวทั่วพร้อมเช่นนี้ เมื่อทำเนืองๆ บ่อยๆเข้า นอกจากสภาวะธรรมดังกล่าวข้างต้นแล้ว ก็อาจจะเกิดสภาวะธรรมอีกหลากหลายรูปแบบได้ (บางคนก็อาจจะเจอคล้ายๆกัน บางคนก็อาจจะเจอสภาวะที่หวือหวาน่าประหลาดใจ) แต่โดยรวมแล้วที่เราจะรับรู้ได้ในยามปกติก็คือพวก อารมณ์ ความรู้สึก และลมหายใจภายใน

     เมื่อสภาวะความรู้สึกเหล่านี้เราสามารถรับรู้ได้ชัดเจนขึ้นแล้ว คราวนี้ ตัวสภาวะความรู้สึกต่างๆจะกลับกลายมาเป็นผู้นำสติ โดยที่เราไม่จำเป็นต้องเตือนตนเอง หรือ ทำความรู้สึกว่าจะต้องมองหรือดูกลับเข้ามาภายในร่างกายแล้ว เพียงแค่นั่งเฉยๆ ความรู้สึกตัว รวมทั้งสภาวะธรรมต่างๆภายในร่างกายจะเด่นชัดขึ้นมาเอง

     จากนั้นเราก็เพียงแค่เอาสติคอยตามระลึกรู้ความรู้สึกตัวและสภาวะเหล่านั้นอีกที โดยอารมณ์ความรู้สึกในตอนนี้จะไม่รู้สึกเหมือนกับว่าเรากำลังมองดูเข้ามาภายใน แต่เป็นอารมณ์ที่เรียกว่า “ระลึกรู้ในความรู้สึกตัว” ไม่ใช่ “มองดูความรู้สึกตัว” แล้ว

     ไม่ว่าจะยืน เดิน นั่ง นอน กินข้าว อาบน้ำ หรือ ทำกิจกรรมใดๆก็ตาม การระลึกรู้ความรู้สึกตัวนี้จะเป็นไปตามธรรมชาติควบคู่ไปกับความรู้สึกเกิด-ดับที่เราจะรับรู้ได้เป็นช่วงๆ ควบคู่ไปกับสภาวะธรรมต่างๆภายใน เช่น ลมหายใจ อารมณ์ ความคิดต่างๆ โดยความรู้ชัดของเราจะเคลื่อนคล้อยไปตามกิจกรรมหรือสิ่งที่กำลังกระทำไปเองตามความเหมาะสม ทำให้ทุกอิริยาบถ และทุกการกระทำของเรา สามารถมีสติสัมปชัญญะอยู่กับปัจจุบันได้เป็นอย่างดี

     เมื่อถึงจุดนี้ แม้เราคิดจะไม่รู้สึกตัวหรือไม่เจริญสติ ก็ไม่สามารถกระทำได้แล้ว เพราะสติความระลึกรู้ตัว และ ความรู้สึก สภาวะธรรมภายในนั้น จะเกิดขึ้นเองโดยอัตโนมัติอย่างต่อเนื่อง

     ดังนั้นหลักการสำคัญสำหรับการเจริญสติด้วยการ มีสติรู้สึกตัวทั่วพร้อมนี้ จึงมีหลักสำคัญอยู่ว่า อย่าไปหวั่นไหวหรือกังวลปรุงแต่งกับสภาวะธรรมต่างๆภายใน (เพราะร่างกายของมนุษย์นั้นมีสิ่งมหัศจรรย์ต่างๆซ่อนอยู่) ไม่ว่าจะเกิดสภาวะใดขึ้น ณ ส่วนใด ให้ทำจิตให้เป็นกลางและตามระลึกรู้ดูความรู้สึกและสภาวะธรรมเหล่านั้นให้ตลอดต่อเนื่อง โดยควบคู่ไปกับการเป็นผู้ฉลาดในการทำจิตของตนให้สบายและเหมาะกับกรรมฐาน โดยสังเกตว่าตอนใดเราควรผ่อนคลาย ตอนใดเราควรเร่งความเพียร ตอนใดเราควรพักผ่อนก่อน โดยเพียงแค่ปรับเปลี่ยนอิริยาบถภายนอกให้เหมาะสม ยืดหยุ่นตามสถานการณ์ และแยบคายกับสภาวะธรรมภายใน(อันนี้ต้องสังเกตและหาความเหมาะสมเฉพาะตัวกันเอาเอง) แต่ภายในเราก็มีสติระลึกรู้ความรู้สึกตัวอยู่เนืองๆ

     สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงหลักการคร่าวๆ ที่สำคัญคือประสบการณ์ส่วนตัวของผู้ปฏิบัติแต่ละคนเอง ที่จะทำความแยบคายกับการเจริญสติ และ เป็นผู้ฉลาดในการทำความเข้าใจกับสภาวะธรรมต่างๆที่เกิดขึ้น โดยตั้งอยู่บนหลักการในการพิจารณาให้เห็นสภาวะธรรมทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมาว่า ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และไม่ควรยึดมั่น ซึ่งจะได้รับผลเช่นไรก็สุดแล้วแต่บุญบารมี กุศลผลบุญ และจริตอินทรีย์ของตัวนักปฏิบัติแต่ละคนเอง

     แม้จะไม่ได้บรรลุมรรคผลนิพพาน แต่ “สติสัมปชัญญะ” ก็ได้ชื่อว่าเป็นธรรมที่มีอุปการะมากมีคุณมาก จึงสมควรที่นักปฏิบัติทุกคนจะหมั่นเจริญสติสัมปชัญญะ การมีสติรู้สึกตัวทั่วพร้อมนี้ให้มากเอาไว้ เจริญพร

พระชาญวิทย์ ธมฺมวโร