รู้แต่ไม่รู้อะไรเลย
การเจริญสตินั้น แม้เราจะเดินจงกรม แต่
ไม่ควรเอาจิตไปปักไว้ที่ฝ่าเท้า หรือสิ่งหนึ่งสิ่งใด ที่ผมแนะนำให้เอาการเคลื่อนไหว
อาการเคลื่อนไหว ซึ่งไม่ใช่แข้ง ไม่ใช่ขา แต่การเคลื่อนไหวของแข้งและขา แยกให้ออก มือกับการเคลื่อนไหวแห่งมือ การเคลื่อนไหวแห่งมือนี้ อย่าไปใส่ใจที่มือ แต่ให้ใส่ใจที่การเคลื่อนไหว
กายเคลื่อนไหว ใจรู้ คือเรียกว่ารู้ตัวก็ได้ ส่วน
การเคลื่อนไหวนั้นเป็นฐาน เป็นสิ่งที่ยากสำหรับผู้ติดคิด แต่ไม่เหลือวิสัย บางคนบอกว่าไม่สามารถจับอารมณ์ได้ เพราะเมื่อจิตไปดูสัมปชัญญะ ไปดูการเคลื่อนไหว มันจับไม่อยู่ มันหลวม ๆ ก็ถูกต้องแล้ว
เพราะว่าเราเคยชินกับการจ้องจับอะไรที่ชัด ๆ ถ้าให้เรากำหนดจิตที่หนึ่งที่ใดเราทำได้ง่าย แต่พอเราพรากจากฐานอันนั้นมาสู่การเคลื่อนไหว ซึ่งเป็นธรรมดาที่มันจะไม่ชัด แต่ในความไม่ชัดนั้นเองมันจะสลายการรวมศูนย์ กลายเป็นการรู้ตัวทั่วพร้อมกว้าง ๆ
เพราะว่าการเคลื่อนไหวนั้นเป็นกึ่งรูปกึ่งนาม ก่อนหน้านี้เราชินกับการกำหนดรูป จะให้นั่งดู เพ่งดู สิ่งใด เราก็ดูได้ เกิดภาวะดวลกันระหว่างผู้ดูและสิ่งที่ถูกดู นี่คือโลกของจิตสำนึกธรรมดา ซึ่งขึ้นกับวัตถุ ขึ้นกับวัตถุเป็นที่ตั้ง ให้เราดูผู้หญิง เราก็ดูได้ง่าย เราก็เห็นได้ชัด ดูผู้ชาย ดูวัว ดูควาย ดูต้นไม้ เราเห็นได้ชัด แต่หันมาดูความคิดใด ๆ นี่มันไม่ได้แล้ว
เพราะฉะนั้นเป็นธรรมดา ถ้ามาดูการเคลื่อนไหว ดูยาก ดูไม่ชัด แต่ในความไม่ชัดนั่นแหละคือความชัด ถ้าไปชัดเป็นรูปธรรมขึ้นมาเป็นความยึดติด ดังนั้นเองให้เคลื่อนไหวไว้ให้ต่อเนื่องด้วยสัมปชัญญะ ไม่ใช่ดูด้วยตาเนื้อ ตาเนื้อก็เบิกไว้ ลืมตาเข้าไว้ แต่ไม่ดูอะไรโดยจำเพาะ เห็นทุกอย่าง แต่ไม่เห็นอะไรเลย รู้ตัวโดยไม่รู้อะไร ถ้าเข้าใจศิลปะแห่งการเห็นเช่นนี้ก็จะรื่นรมณ์ มีสุนทรียภาพอยู่ในการเห็น
โดย เขมานันทะ