Recent Posts

วิธีฝึกความรู้สึกตัว [หลวงพ่อมานพ]


วิธีฝึก ทำความรู้สึกตัวทั่วพร้อม

     เมื่อเราสังเกตลมหายใจเข้าออกไปสักระยะหนึ่ง  จนใจเริ่มคุ้นเคยและตั้งมั่นเป็นสมาธิอยู่กับลมหายใจเข้าออกแล้ว  ให้เราถอนออกจากสมาธินั้น แล้วเปลี่ยนมาฝึกด้วยวิธีอื่นต่อ  เนื่องจากสมาธิที่เกิดจากการสังเกตลมหายใจเข้าออกนั่นไม่เอื้อต่อการเกิดของปัญญา   เพราะเป็นสมาธิที่แนบแน่น และปักดิ่งอยู่กับอารมณ์เดียว ไม่ปล่อยให้สติไปรับรู้อารมณ์อื่น ๆ  สติสัมปชัญญะจึงไม่เกิดขึ้นมากเท่าที่ควร

     จึงแนะนำให้เปลี่ยนจากการสังเกตลมหายใจ (อานาปานสติ) เพียงอย่างเดียว  มาเป็นการทำความรู้สึกตัวทั่วพร้อมแทน   เพราะเป็นการนั่งสมาธิเช่นกัน แต่เป็นสมาธิที่ไม่แนบแน่น พร้อมจะปล่อยสติไปดูสิ่งกระทบอื่น ๆ ที่ปรากฏขึ้นได้  เมื่อมีสิ่งใหม่ ๆ มากระทบ  สติก็สามารถทิ้งอารมณ์เดิมไปรับรู้อารมณ์ใหม่ได้ทันที มีวิธีทำได้ ๒ วิธี คือ

วิธีแรก  การสังเกตแบบแนบชิด

     สำรวจไปทั่วร่างกาย  โดยเริ่มจากบนลงล่างก่อน  ตั้งแต่ศีรษะไปจนถึงปลายเท้า  ใช้สติสังเกตที่ละส่วนให้ทั่ว  ทั้งด้านหน้า ด้านหลัง ด้านข้าง ด้านบน ด้านล่าง  เช่น หากสังเกตแขน  ก็ให้สังเกตทุก ๆ ส่วนตั้งแต่ต้นแขน เลื่อนลงไปจนสุดปลายแขนโดยไม่ไปสังเกตส่วนอื่น

     เมื่อสังเกตทั่วแล้ว ก็เลื่อนไปสังเกตส่วนต่อไปในลักษณะเดียวกัน เมื่อสังเกตจนครบทุกส่วนในร่างกายแล้ว  จึงย้อนมาสังเกตจากล่างขึ้นบนแทน สังเกตขึ้น ๆ ลง ๆ สลับกันไปอย่างต่อเนื่องจนชำนาญ

     เมื่อฝึกฝนด้วยวิธีการนี้ จนชำนาญแล้ว จะได้รับประโยชน์มหาศาล  เนื่องจากการฝึกเคลื่อนสติไปตามจุดต่าง ๆ เป็นการเพิ่มศักยภาพให้สติสัมปชัญญะมีกำลังมาก  จนสามารถใช้มองทะลุทะลวงร่างได้เหมือนการฉายเอกซเรย์  ไม่ว่าจะเป็นจากด้านหน้าทะลุไปด้านหลัง จากด้านหลังทะลุไปด้านหน้า จากบนทะลุไปล่าง จากล่างทะลุขึ้นบน  จึงสามารถนำไปใช้ในการบำบัดทุกขเวทนาที่เกิดขึ้นขณะที่เราเจ็บป่วยได้

     การที่ใจไม่ได้อยู่นิ่ง แต่ต้องย้ายไปย้ายมาเพื่อสังเกตส่วนต่าง ๆ ของร่างกายอยู่ตลอด  ทำให้สมาธิที่เกิดขึ้น  จากการทำความรู้สึกตัวทั่วพร้อมเป็นสมาธิในแบบที่เอื้อให้ปัญญาเกิดได้รวดเร็วที่สุด  วิธีนี้เป็นวิธีที่ครูบาอาจารย์นิยมใช้กันมาก  เพราะเมื่อทำแล้ว  ใจจะตั้งมั่นเป็นสมาธิ ทำให้สามารถนั่งสังเกตกายได้ทั้งวันโดยไม่เบื่อ  ปัญญาจึงก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว

วิธีที่สอง  การสังเกตุร่างกายแบบรวม ๆ

     สังเกตทั่วร่างกาย  โดยไม่ต้องเจาะจงสังเกตอาการใด อาการหนึ่งเป็นพิเศษ สังเกตให้เห็นว่าตอนนี้อวัยวะ ต่างๆ อยู่ในลักษณะอย่างไร และมีความรู้สึกอะไรเกิดขึ้นที่อวัยวะส่วนนั้นบ้าง  เช่น  สังเกตว่ากำลังอยู่ในอริยาบถไหน นั่งทำอะไรอยู่  ศีรษะอยู่อย่างไร คออยู่อย่างไร หลังตรง หรืองออยู่    แขนขาวางอยู่ในท่าทางอย่างไร และรู้สึกอย่างไรบ้าง

     หากสังเกตพบว่ามีความรู้สึกใหม่ ๆ เกิดขึ้นที่ใดก็ให้ไปสังเกตความรู้สึกที่เกิดขึ้นนั้น เย็นมากระทบที่ขา ก็ตามไปสังเกตที่ขา ร้อนมากระทบที่หลัง ก็เปลี่ยนไปสังเกตที่หลัง ความรู้ในปัจจุบัน คือ  อะไร เห็นสิ่งกระทบ ใหม่ ๆ ปรากฏขึ้นอย่างชัดเจนตรงไหน ก็ให้ย้ายใจไปสังเกตที่นั่น  แล้วสติสัมปชัญญะจะเกิดขึ้นมาก  เพราะ สิ่งที่กระทบ และความรู้สึกใหม่ ๆ นั่นเกิดขึ้นตลอด  เวลากระทบหนึ่งครั้ง สังเกตทันหนึ่งครั้ง สติก็เกิดขึ้นหนึ่งครั้ง  ถ้าหมั่นฝึกฝนจจนกระทบทุกครั้ง สังเกตทันทุกครั้ง  สติสัมปชัญญะก็จะเกิดขึ้นทุกครั้ง

     วิธีนี้ทำให้เราสามารถใช้ทุก ๆ สิ่งที่ปรากฏเกิดขึ้นกับร่างกาย และจิตใจของเราเป็นเครื่องมือฝึกสติ สัมปชัญญะได้หมด  ไม่ว่าจะเป็นลมหายใจเข้าออก  อากัปกิริยาของร่างกาย  ความรู้สึก ความคิด สิ่งใดปรากฏขึ้นเวลาใด ก็สังเกตใส่ใจและเรียนรู้จากสิ่งนั้น

     วิธีนี้สามารถใช้เป็นอุบายเจริญสติได้ตลอดไป   เมื่อทำวิธีนี้ได้แล้ว จะทำให้วิปัสสนา - ปัญญาเกิดขึ้นตามมา จะทำให้ทันความรู้สึกทางทวารทั้งหก

     การทำความรู้สึกตัวทั่วพร้อมทั้งสองแบบนี้ จึงมีแต่ประโยชน์ ไม่มีโทษ  และหากเราสามาถฝึกหัดด้วยวิธีนี้ได้อย่างชำนาญแล้ว จะไม่กลับไปสังเกตลมหายใจอีกเลยก็ได้

     พระอาจารย์มานพ อุปสโม