วิธีฝึก ทำความรู้สึกตัวทั่วพร้อม
เมื่อเราสังเกตลมหายใจเข้าออกไปสักระยะหนึ่ง จนใจเริ่มคุ้นเคยและตั้งมั่นเป็นสมาธิอยู่กับลมหายใจเข้าออกแล้ว ให้เราถอนออกจากสมาธินั้น แล้วเปลี่ยนมาฝึกด้วยวิธีอื่นต่อ เนื่องจากสมาธิที่เกิดจากการสังเกตลมหายใจเข้าออกนั่นไม่เอื้อต่อการเกิดของปัญญา เพราะเป็นสมาธิที่แนบแน่น และปักดิ่งอยู่กับอารมณ์เดียว ไม่ปล่อยให้สติไปรับรู้อารมณ์อื่น ๆ สติสัมปชัญญะจึงไม่เกิดขึ้นมากเท่าที่ควร
จึงแนะนำให้เปลี่ยนจากการสังเกตลมหายใจ (อานาปานสติ) เพียงอย่างเดียว มาเป็นการทำความรู้สึกตัวทั่วพร้อมแทน เพราะเป็นการนั่งสมาธิเช่นกัน แต่เป็นสมาธิที่ไม่แนบแน่น พร้อมจะปล่อย
สติไปดูสิ่งกระทบอื่น ๆ ที่ปรากฏขึ้นได้ เมื่อมีสิ่งใหม่ ๆ มากระทบ สติก็สามารถทิ้งอารมณ์เดิมไปรับรู้อารมณ์ใหม่ได้ทันที
มีวิธีทำได้ ๒ วิธี คือ
วิธีแรก การสังเกตแบบแนบชิด
สำรวจไปทั่วร่างกาย โดยเริ่มจากบนลงล่างก่อน ตั้งแต่ศีรษะไปจนถึงปลายเท้า ใช้สติ
สังเกตที่ละส่วนให้ทั่ว ทั้งด้านหน้า ด้านหลัง ด้านข้าง ด้านบน ด้านล่าง เช่น หากสังเกตแขน ก็ให้สังเกตทุก ๆ ส่วนตั้งแต่ต้นแขน เลื่อนลงไปจนสุดปลายแขนโดยไม่ไปสังเกตส่วนอื่น
เมื่อสังเกตทั่วแล้ว ก็เลื่อนไปสังเกตส่วนต่อไปในลักษณะเดียวกัน เมื่อสังเกตจนครบทุกส่วนในร่างกายแล้ว จึงย้อนมาสังเกตจากล่างขึ้นบนแทน สังเกตขึ้น ๆ ลง ๆ สลับกันไปอย่างต่อเนื่องจนชำนาญ
เมื่อฝึกฝนด้วยวิธีการนี้ จนชำนาญแล้ว จะได้รับประโยชน์มหาศาล เนื่องจากการฝึกเคลื่อนสติไปตามจุดต่าง ๆ เป็นการเพิ่มศักยภาพให้สติสัมปชัญญะมีกำลังมาก จนสามารถใช้มองทะลุทะลวงร่างได้เหมือนการฉายเอกซเรย์ ไม่ว่าจะเป็นจากด้านหน้าทะลุไปด้านหลัง จากด้านหลังทะลุไปด้านหน้า จากบนทะลุไปล่าง จากล่างทะลุขึ้นบน จึงสามารถนำไปใช้ในการบำบัดทุกขเวทนาที่เกิดขึ้นขณะที่เราเจ็บป่วยได้
การที่ใจไม่ได้อยู่นิ่ง แต่ต้องย้ายไปย้ายมาเพื่อสังเกตส่วนต่าง ๆ ของร่างกายอยู่ตลอด ทำให้สมาธิที่เกิดขึ้น จากการทำความรู้สึกตัวทั่วพร้อมเป็นสมาธิในแบบที่เอื้อให้ปัญญาเกิดได้รวดเร็วที่สุด วิธีนี้เป็นวิธีที่ครูบาอาจารย์นิยมใช้กันมาก เพราะเมื่อทำแล้ว ใจจะตั้งมั่นเป็นสมาธิ ทำให้สามารถนั่งสังเกตกายได้ทั้งวันโดยไม่เบื่อ ปัญญาจึงก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว
วิธีที่สอง การสังเกตุร่างกายแบบรวม ๆ
สังเกตทั่วร่างกาย โดยไม่ต้องเจาะจงสังเกตอาการใด อาการหนึ่งเป็นพิเศษ สังเกตให้เห็นว่าตอนนี้อวัยวะ ต่างๆ อยู่ในลักษณะอย่างไร และมีความรู้สึกอะไรเกิดขึ้นที่อวัยวะส่วนนั้นบ้าง เช่น สังเกตว่ากำลังอยู่ในอริยาบถไหน นั่งทำอะไรอยู่ ศีรษะอยู่อย่างไร คออยู่อย่างไร หลังตรง หรืองออยู่ แขนขาวางอยู่ในท่าทางอย่างไร และรู้สึกอย่างไรบ้าง
หากสังเกตพบว่า
มีความรู้สึกใหม่ ๆ เกิดขึ้นที่ใดก็ให้ไปสังเกตความรู้สึกที่เกิดขึ้นนั้น เย็นมากระทบที่ขา ก็ตามไปสังเกตที่ขา ร้อนมากระทบที่หลัง ก็เปลี่ยนไปสังเกตที่หลัง ความรู้ในปัจจุบัน คือ อะไร เห็นสิ่งกระทบ ใหม่ ๆ ปรากฏขึ้นอย่างชัดเจนตรงไหน ก็ให้ย้ายใจไปสังเกตที่นั่น แล้วสติสัมปชัญญะจะเกิดขึ้นมาก เพราะ สิ่งที่กระทบ และความรู้สึกใหม่ ๆ นั่นเกิดขึ้นตลอด เวลากระทบหนึ่งครั้ง สังเกตทันหนึ่งครั้ง สติก็เกิดขึ้นหนึ่งครั้ง ถ้าหมั่นฝึกฝนจจนกระทบทุกครั้ง สังเกตทันทุกครั้ง สติสัมปชัญญะก็จะเกิดขึ้นทุกครั้ง
วิธีนี้ทำให้เราสามารถใช้ทุก ๆ สิ่งที่ปรากฏเกิดขึ้นกับร่างกาย และจิตใจของเราเป็นเครื่องมือฝึกสติ สัมปชัญญะได้หมด ไม่ว่าจะเป็นลมหายใจเข้าออก อากัปกิริยาของร่างกาย ความรู้สึก ความคิด สิ่งใดปรากฏขึ้นเวลาใด ก็สังเกตใส่ใจและเรียนรู้จากสิ่งนั้น
วิธีนี้สามารถใช้เป็นอุบายเจริญสติได้ตลอดไป เมื่อทำวิธีนี้ได้แล้ว จะทำให้วิปัสสนา - ปัญญาเกิดขึ้นตามมา จะทำให้ทันความรู้สึกทางทวารทั้งหก
การทำความรู้สึกตัวทั่วพร้อมทั้งสองแบบนี้ จึงมีแต่ประโยชน์ ไม่มีโทษ และหากเราสามาถฝึกหัดด้วยวิธีนี้ได้อย่างชำนาญแล้ว จะไม่กลับไปสังเกตลมหายใจอีกเลยก็ได้
พระอาจารย์มานพ อุปสโม