วิธีสังเกตเวทนาทางใจ
-ถาม: เรามีวิธีสังเกตเวทนาที่เกิดขึ้นอย่างไรครับ และสาเหตุของเวทนาทางใจเกิดจากอะไร ผมสังเกตว่าสุขหรือทุกขเวทนาทางใจเกิดขึ้นจากความคิดที่ไปยึดว่ามีตัวเราเป็นผู้เกี่ยวข้องในสภาวะ ไม่ทราบว่าถูกหรือเปล่า
-ตอบ: "เวทนา" พระพุทธเจ้าให้แบ่งง่ายๆอย่างนี้ เวทนาที่ตอนแรกสังเกตนะว่า มีความสุข มีความทุกข์
๐ ความสุขคืออะไร คือรู้สึกสบายๆ มันรู้สึกโล่งๆ มันรู้สึกว่าเบา อย่างนี้เป็นลักษณะใกล้เคียง ที่เราจะสังเกตุเห็นความสุข ไม่ว่าจะทางกายหรือทางใจ
๐ ทางกายมันจะไม่กระสับกระส่าย ไม่เกร็ง ไม่กำ อย่างนี้เรียกว่าเป็นสุขเวทนาทางกาย
๐ ส่วนทางใจก็สบายใจ มีความโล่งใจ มีความปลอดโปร่ง อย่างนี้นะครับ
๐ ก็คิดง่ายๆเลยว่าถ้าเบา มีแนวโน้มจะเป็นสุข
ถ้าหากว่าทึบ หนัก เกร็ง ไม่ว่าส่วนใดส่วนหนึ่งของกาย นั่นจัดเหมาให้เป็นทุกขเวทนาทางกายให้หมดเลย ส่วนความรู้สึกกระสับกระส่าย เกิดความรู้สึกทุรนทุราย เกิดความเร่าร้อน เกิดมีอาการฟุ้งขึ้นมาใดๆ อย่างนั้นจัดเป็นทุกขเวทนาทางใจให้หมด อันนี้เป็นการแบ่งแยกแบบง่ายๆที่สุด สุข กับทุกข์
๐ ทีนี้ท่านก็ให้สังเกตต่อไปอีกว่า สุข กับ ทุกข์ มันไม่ได้มีแค่ความสุขกับความทุกข์ขึ้นมาเองเฉยๆ บางทีมันมีเหยื่อล่อแบบโลกๆเข้ามาเกี่ยวข้องอย่าง เช่น ถ้าหากว่าเราไปนอนอยู่บนโซฟาสบายๆ ที่โซฟาตัวโปรด นี่เรียกว่า มีเหยื่อล่อแบบโลกๆ แต่ถ้าหากว่าเราอยู่เฉยๆ เราเจริญสติอยู่แล้วเกิดความรู้สึกว่านี่มันไม่เที่ยง แล้วก็เกิดมีความอิ่มใจ มีความสุขขึ้นมาว่าเราเห็นความไม่เที่ยงแล้ว อย่างนี้เรียกว่าไม่มีเหยื่อล่อแบบโลกๆ แต่เป็นการที่เราฝึกจิต แล้วก็มีเหตุใกล้ที่เป็นธรรมะ ที่ก่อให้เกิดความสุข อย่างนี้พระพุทธเจ้าให้แยกไว้เป็นสุขเวทนาประเภทไม่มีเหยื่อล่อแบบโลกๆ สุขเวทนาแบบไม่มีอามิส ทุกข์ก็เหมือนกัน
๐ ในทางตรงกันข้าม ถ้าหากมีผัสสะแบบโลกๆเข้ามาเกี่ยวข้องจัดว่าเป็นทุกข์ที่มีอามิส แต่ถ้าเป็นทุกข์แบบไม่มีอามิส ไม่มีเหยื่อล่อแบบโลกๆนี่ ท่านให้เหมามาในทางธรรม ยกตัวอย่างเช่น ถ้าหากว่าปฏิบัติธรรมเจริญสติภาวนา แล้วเกิดความรู้สึกอยากได้มรรคผล แล้วเกิดความรู้ตัวซ้อนขึ้นมาอีกว่า โอ๊ยไม่ได้เร็วๆนี้หรอก เกิดความรู้สึกท้อถอยขึ้นมา อย่างนี้เรียกว่าเป็นทุกขเวทนาแบบไม่มีอามิส คือไม่มีเหยื่อล่อแบบโลกๆเข้ามาเกี่ยวข้อง หรือแม้กระทั่งว่าเราอยากที่จะสงบจากความฟุ้งซ่าน พยายามทำสมาธิแล้วมันสงบไม่ได้ เกิดความทุกข์ขึ้นมา เกิดความกระสับกระส่าย กระวนกระวายขึ้นมา อย่างนี้ก็เรียกว่าเป็นทุกขเวทนาแบบไม่มีอามิสเช่นกัน
๐ สรุปง่ายๆ อาการเวทนาทางใจ เราดูตรงที่ว่ามีความคิดแบบใดมากระทบ หรือมีความรู้สึกที่ไม่เกี่ยวข้อง ไม่เจืออยู่ด้วยเรื่องแบบโลกๆ จริงๆแล้วช่วงต้นๆไม่จำเป็นต้องไปพยายามแยกแยะหรอก เอาแค่ว่ารู้ทันว่ากำลังมีความปลอดโปร่ง หรือว่ามีความทึบหนักอยู่แค่นี้ก็พอแล้ว การที่สติมีความคมและมีความว่องไว แล้วเห็นเหตุปัจจัยว่าอะไรทำให้เกิดสุข อะไรทำให้เกิดทุกข์ มันจะตามมาเอง เพียงแต่ว่ามีประกัน มีพุทธพจน์มาประกันว่า เราเห็นอย่างนี่น่ะถูกต้องแล้ว ถ้าหากว่ามีเหยื่อล่อเรียกว่ามีอามิส ไม่มีเหยื่อล่อเรียกว่าไม่มีอามิส เอาง่ายๆแค่นี้
ดังตฤณ