เราก็อาจจะใช้การระลึกรู้ หรือ เพ่งดูบัญญัติอารมณ์ไปก่อน เพื่อให้เกิดความสงบหรือเกิดสมาธิ ใช้การเพ่ง บัญญัติอารมณ์ ซึ่งในสติปัฏฐาน ท่านก็ได้แสดง มีข้อให้เลือกกำหนดไว้หลายข้อด้วยกัน
อันดับแรกเป็นการเพ่งดูลมหายใจเข้าออก ในสติปัฏฐาน เรียก ว่า อานาปานสติปัพพะ ในข้อกำหนดลมหายใจเข้าออก คือตั้งสติไว้ที่โพรงจมูกหรือปลายจมูก คอยระลึกรู้ถึงลมหายใจเข้า หายใจออก ลมหายใจ เข้า ออก ก็จะแสดงลักษณะบางครั้งหายใจเข้ายาวออกยาว บางขณะก็หายใจเข้าสั้นออกสั้นก็ตาม ระลึกถึงลมหายใจ คือ สังเกตลมหายใจไป ว่ามันยาว มันสั้น ให้รู้ไปทุกขณะ เพื่อจะให้เป็นการผูกจิตไว้ อยู่กับลมหายใจ ถ้าไม่สังเกตอะไรเลย มันก็จะทำให้จิตไม่สนใจ จิตก็จะล่องลอยไปได้ง่าย การที่จะ ระลึกรู้ ลมหายใจเข้าออก
ครูบาอาจารย์รุ่นหลังนี้ ที่ท่านมีประสบการณ์ในการปฏิบัติ เห็นว่า การใช้คำบริกรรม ไปด้วย จะช่วยให้ผูกจิต ให้อยู่กับ ลมหายใจ ได้ดีขึ้น ท่านก็ได้สอนลูกศิษย์ให้บริกรรม คือพูดในใจ เช่น คำว่า พุทโธ หายใจเข้า บริกรรมว่า พุท หายใจออก บริกรรมว่า โธ หรือธรรมโม หรือสังโฆ ก็แล้วแต่ อันนี้ก็เป็นการเพิ่มอุปกรณ์ ของการที่จะผูกจิตให้อยู่กับลมหายใจได้มากขึ้น ก็ธรรมดาจิตใจของบุคคลทั่วไป ก็จะหลงลืมไป หลงลืม ระลึกลมหายใจ ก็จะคิดล่องลอยไปที่อื่น ฉะนั้นบริกรรมก็จะกระตุ้น ให้จิตระลึกถึงลมหายใจได้อีก ฉะนั้นคำบริกรรมว่าพุทโธนี้ เกิดขึ้นภายหลัง ตามหลักฐานที่พระพุทธเจ้าแสดงไว้ ไม่ได้แสดงไว้ว่าให้บริกรรมพุทโธ หรืออย่างอื่น แต่ก็ไม่ผิดอะไร แต่เป็นการได้ใช้สมมุติ ทั้งสองอย่าง ใช้บัญญัติอารมณ์ ทั้งสองอย่าง คือ อัตถบัญญัติ และสัททบัญญัติ คำบริกรรมที่ใช้เรียกชื่อพุทโธนี้ ถือว่าเป็นสัททบัญญัติ เป็นชื่อ เป็นสมมุติอย่างหนึ่ง แต่ว่าสมมุติโดยการเรียกชื่อ การรู้ลมเข้าลมออกหรือเข้ายาวออกยาว อันนี้เป็นความหมายจัดเป็นอัตถบัญญัติ
ฉะนั้น การที่บริกรรม กำหนดดูลมหายใจเข้าออกไปเรื่อยๆ ย่อมทำให้เกิดสมาธิ หรือว่าบางท่านบางคน อาจจะกำหนดลมหายใจ ในส่วน เบื้องปลาย เช่นมาดูที่หน้าท้อง ฉะนั้นในบางสำนักบางแห่ง ให้มาดูที่หน้าท้อง ก็ใช้สัททบัญญัติ ใช้คำบริกรรมว่า พองหนอ ยุบหนอ คำว่าพองหนอ ยุบหนอ เป็นสัททบัญญัติ เป็นการสมมุติแห่งความเป็นชื่อ ส่วนอาการที่พองยุบ ยังเป็นความหมาย จัดเป็นอัตถบัญญัติ ยังไม่ใช่สภาวะจริง การที่จิต เข้าไปรู้ถึงว่ามันพองขึ้น หรือยุบลง เป็นการเข้าไปรู้ในความหมาย หรืออาจจะเห็นเป็นรูปร่าง บางคนอาจจะเห็นเป็นสัณฐานรูปร่าง ของหน้าท้อง มันเป็นมโนภาพ ท้องนูนขึ้น หรือแฟบลง อย่างนี้ เป็นส่วนของอัตถบัญญัติเหมือนกัน ในส่วนของรูปร่างสัณฐาน ฉะนั้นความหมายของคำว่า พอง หรือ ยุบ ท้องโป่งท้องแฟบเป็นอัตถบัญญัติ คำบริกรรมว่าพองหนอ ยุบหนอก็เป็นสัททบัญญัติ บัญญัติอย่างนี้ก็จัดเป็นกรรมฐานได้ เป็นที่ตั้งของจิต เป็นที่ตั้ง ของสติ เพื่อให้เกิดความสงบ บริกรรมพองหนอ ยุบหนอ เพ่งดูที่หน้าท้องไปเรื่อย ก็จะเกิดความสงบ มันก็ได้เหมือนกัน
คนถนัดดูลมหายใจ ที่ปลาย โพรงจมูก บริกรรม พุทโธ หรือคนถนัดมาดูที่ท้อง ยุบหนอ พองหนอ ทำให้เกิดสมาธิได้
หรือบางคนก็อาจจะมาดูที่อิริยาบถ ในสติปัฏฐาน อันแสดง อิริยาบถปัพพะ ที่ว่าด้วยอิริยาบถ คนที่ไม่ถนัดจะดูลมหายใจก็มาดูอิริยาบถได้ ดูอิริยาบถใหญ่ ๔ เช่นนั่งก็ให้รู้ตัวในท่านั่ง อาการของกาย ที่อยู่ในท่านั่ง ดูท่าทางของกาย แล้วก็มีสัณฐาน มีรูปร่าง มีสัดส่วนของอวัยวะ แขนขาร่างกายเป็นมโนภาพ ก็จัดว่าเป็นอัตถบัญญัติ ในส่วนของสัณฐาน หรือบางคน อาจจะรู้ในส่วนของความหมายนั่งอยู่นี้ คือเป็นความหมายว่านั่งอยู่ นั่งพับเพียบ นั่งขัดสมาธิ นั่งห้อยเท้า ก็เป็นความหมายที่ขยายออกไป ฉะนั้น การที่ดูท่าทางของกาย จิตก็ต้องไปสัมผัส ในความเป็นรูปร่างสัณฐานบ้าง ก็ถือว่ายังเป็นการเพ่งดูสมมุติบัญญัติ บางคนก็อาจจะใช้คำบริกรรมไปช่วย เป็นสัททบัญญัติเข้ามาช่วย เช่น บริกรรมว่านั่งหนอ นั่งหนอ เป็นชื่อ เป็นสมมุติแห่งความเป็นชื่อเข้ามา หรือว่าเวลายืน บริกรรมว่ายืนหนอ ยืนหนอ เห็นเป็นท่าทางของกายที่ยืนอยู่ ทรวดทรงของกาย หรือรู้ความหมายว่ายืนอยู่ แล้วก็บริกรรม ถือว่า ใช้ทั้งสัททบัญญัติและอัตถบัญญัติ หรือแม้แต่เวลาเดิน เข้าไปรู้การก้าวไป เรียกว่าเดินจงกรม รู้การก้าวไป การก้าวนี้ ถือเป็นความหมายว่าก้าวไป หรือรู้เห็นเป็นรูปร่างของขาของเท้า เวลาจิตไปรับรู้ที่เท้า ก็เห็นเป็นรูปร่างขาเท้า อย่างนี้เรียกว่าเป็นอัตถบัญญัติ เหมือนกัน ก้าวไปก็เป็นความหมาย บางคนก็อาจจะใช้สัททบัญญัติเข้าช่วย คือว่าบริกรรมเช่นบริกรรมว่า ก้าวเป็นรูป รู้เป็นนาม ก้าวเป็นรูป รู้เป็นนาม ก็เป็นการเรียกชื่อ เป็นสัททบัญญัติ เข้าไปกำกับ หรืออาจจะบริกรรมว่า ซ้ายย่างหนอ ขวาย่างหนอ ก็เป็นการใช้สัททบัญญัติ เข้าไปกำกับให้จิตอยู่กับเท้า ให้มีทั้งสัททบัญญัติ และ อัตถบัญญัติ อย่างนี้จัดเป็นกรรมฐานได้ เอามาใช้ดำเนินการปฏิบัติไปได้ เพื่อให้เกิดสมาธิ เกิดความสงบหรือจะใช้บริกรรมอื่น แล้วแต่คิดค้นขึ้นมา ให้เหมาะสมก็ได้ เราก็พึ่งทราบว่า คำบริกรรมต่างๆ เป็นเพียงอุปกรณ์ของการผูกจิตให้อยู่กับกรรมฐานนั้นๆ
ฉะนั้น ในอันดับแรกหากเราจะปฏิบัติไปตามลำดับขั้น ขั้นแรกก็เพ่งดูบัญญัติไปก่อน เดินก็รู้การก้าวไป หรือจะบริกรรมด้วยก็แล้วแต่ เวลานั่ง ก็ดูกาย ดูท่าทางของกายที่นั่งอยู่ หรือจะบริกรรมไปด้วย หรือจะดูลมหายใจเข้าออก หรือจะบริกรรมไปด้วย หรือจะดูหน้าท้อง แล้วบริกรรมไปด้วย ก็ได้ ให้เกิดสมาธิ ในช่วงนี้ยังไม่เป็นวิปัสสนา ทำไมไม่จัดเป็นวิปัสสนา ก็เพราะว่าวิปัสสนานั้นเป็นเรื่องของปัญญา วิปัสสนาเป็นตัวปัญญา ว่าเห็นแจ้ง เห็นวิเศษ การที่จะเป็นปัญญา ต้องรู้ความจริง ต้องเข้าไปรู้ปรมัตถ์
ฉะนั้นสติต้องระลึกตรงต่อปรมัตถ์ ถ้าสติรู้ตรงต่อปรมัตถ์ อารมณ์เป็นปรมัตถ์ไม่ใช่บัญญัติ จึงเข้ามาเป็นวิปัสสนา ถ้าอารมณ์ยังเป็นบัญญัติอยู่ จะเป็นวิปัสสนาไม่ได้ คือเป็นปัญญาไม่ได้ วิปัสสนาเป็นชื่อปัญญา ปัญญาที่รู้จริงเห็นจริง ก็ต้องระลึกปรมัตถ์ ปรมัตถ์คือสิ่งที่เป็นจริง แต่ว่าบุคคล ยังไม่คุ้นเคยกับปรมัตถ์ คุ้นเคยต่อสมมุติบัญญัติ การจะสื่อกัน การสอนกัน ให้เพ่งบัญญัติ มันสื่อกันง่าย สอนกันง่าย บอกให้บริกรรมพุทโธ หรือบอกให้บริกรรม พองหนอ ยุบหนอ สื่อกันง่าย ปฏิบัติกันเข้าใจ ก็ให้ทำอย่างนั้นไป เพื่อให้เกิดสมาธิ ให้เกิดความสงบขึ้น เมื่อเกิดความสงบ ก็อาจจะเป็นเพียงเครื่องรองรับ มีจิตใจรองรับที่จะศึกษาปฏิบัติ ในขั้นวิปัสสนาต่อไป บางคนไม่สามารถทำความเข้าใจ เรื่องปรมัตถ์ได้ทันที ก็ต้องให้จิตใจ มีความสงบไปบ้าง ตามสมควร
ตอนนี้เมื่อฝึกการดูลมหายใจ ดูอิริยาบถ หรือเวลาเดินดูการก้าวไป และบริกรรมไปด้วย ก็ตาม หรือจะดูนั่งดูหน้าท้องก็ตาม
ขั้นที่สอง ที่จะเข้ามาสู่วิปัสสนา
ก็ต้องระลึกให้ตรงต่อปรมัตถ์ขึ้น หรือเปลี่ยนจากอารมณ์ที่เป็นบัญญัติ มาเป็นสู่อารมณ์ที่เป็นปรมัตถ์ ในขณะที่กำหนดลมหายใจ หรือดูหน้าท้อง หรือดูอิริยาบถก็ตาม พอมาถึงขั้นสองนี้
ให้สังเกตเข้ามาสู่ความรู้สึก ใช้ภาษาของการที่ทำความเข้าใจง่ายๆ ในทางปฏิบัติ ใช้คำว่า ความรู้สึก แต่ที่จริง (คำว่า) ความรู้สึก กินความไม่หมดในเรื่องปรมัตถธรรม แต่ว่าการจะพูดให้มากเกินไป ก็จะเฝือ ไม่รู้เรื่อง อย่างเช่นว่า ถ้าจะพูดให้กินความหมด ก็จะต้องกล่าวว่า
สิ่งที่ปรากฏที่กาย มันจะมีทั้งส่วนที่เป็นโผฏฐัพพารมณ์ ที่มากระทบ ได้แก่ ร้อนเย็น อ่อนแข็ง หย่อนตึง แล้วทั้งส่วนที่เป็นกายวิญญาณ คือตัวที่เข้าไปรู้สึกโผฏฐัพพารมณ์
แล้วก็มีเวทนา ที่จะรวมกับกายวิญญาณ เป็นสุขเวทนา สบายกายบ้าง เป็นทุกขเวทนา ไม่สบายกายบ้าง แล้วก็ยังมีกายประสาท
ฉะนั้นบางทีพูดไปมากๆ เลยทำให้ฟังกำหนดจดจำไม่ถูก กำหนดที่จะเอาไปปฏิบัติไม่ถูก เพื่อที่จะย่อความพูดให้ง่าย ก็บอกให้ไปกำหนดความรู้สึก สังเกตความรู้สึก ความเคลื่อนไหว ความรู้สึกที่มันหย่อนตึง เย็นร้อน อ่อนแข็ง ขณะที่มีโผฏฐัพพารมณ์ มากระทบกายประสาทตรงไหน มันก็จะเกิดความรู้สึก เกิดกายวิญญาณรับรู้ เกิดความรู้สึกเวทนาตรงนั้นด้วย ขณะที่รู้สึก จะมีโผฏฐัพพารมณ์
งั้นถ้าจะพูดให้ง่าย ความรู้สึกที่มันตึงหย่อน เย็นร้อน อ่อนแข็ง มันมีเย็นรู้สึกเย็น ร้อนรู้สึกร้อน แข็งรู้สึกแข็ง อ่อนรู้สึกอ่อน หย่อนรู้สึกหย่อน ตึงรู้สึกตึง มันอยู่ตรงกระทบ เกิดผัสสะ ขึ้นทางกายว่า ถ้าหากว่ามันมีการกระทบ แรงกระทบมาก มันทำให้เกิดทุกขเวทนา เช่นตึงเกินไป ก็ทำให้รู้สึกไม่สบายกาย เย็นเกินไป ร้อนเกินไป ก็ไม่สบายกาย ให้มันพอดีๆ ก็รู้สึกสบายกาย
ถ้าเป็นเวทนาเกิดขึ้น ความรู้สึกเหล่านี้ กับรูปร่างสัณฐานท่าทางของกาย เป็นคนละเรื่องคนละอย่างกัน ความรู้สึกนี้ไม่เป็นท่าทาง ไม่เป็นรูปร่าง ไม่เป็นเข้าออก ไม่เป็นยาวสั้น ไม่เป็นพองยุบ อย่างที่หน้าท้อง ความรู้สึกมันก็จะมีความตึง ความหย่อน ที่ว่าพองยุบ ความรู้สึกตึง แต่มันเป็นรูปร่าง มันไม่มีความหมาย ความตึง ความหย่อน
สรุป ย่อลงก็คือความไหว หรือเคลื่อนไหว การเข้าไปสังเกตความเคลื่อนไหว ก็คือความตึงๆ หย่อนๆ นั่นแหละ ถ้าให้สังเกตให้ดี มันตึง มันหย่อน ทำให้รู้สึกเคลื่อนไหว หรือจะที่ทรวงอก มันความเคลื่อนไหวมีความตึง ความไหว
ในขั้นนี้ ก็ให้สังเกตความรู้สึกนี้ไป โดยไม่ต้องนึกถึงรูปร่างสัณฐานของกาย โดยไม่นึกถึงความหมายว่า ลมเข้าลมออก หรือพองยุบ แต่สังเกตความรู้สึกนะ มันเป็นความรู้สึก บอกไม่ได้ว่ามันเป็นอะไร อย่างไร แต่มันเป็นสภาวะ มีอยู่เป็นความตึง ความไหวอยู่ หรือความเย็น ความร้อน ความอ่อน ความแข็ง เป็นปรมัตถ์ อันนี้เป็นสัจจธรรม เป็นสภาวธรรม
ฉะนั้นการปฏิบัติ เราก็ต้องเข้าใจว่า เมื่อธรรมเข้ามาสู่สภาวปรมัตถ์นี้ ก็ต้องไม่คำนึงถึงรูปร่างสัณฐาน ท่าทาง ความหมาย คอยทิ้ง ค่อยละ ค่อยคลายออกไป กำหนดอยู่ หรือรู้อยู่ กับสภาวะ
ถ้าหากสติสัมปชัญญะมันอยู่กับสภาวะ อยู่กับปรมัตถ์ได้ดี ความรู้สึกของผู้ปฏิบัตินั้น ก็จะมี (ความ) รู้สึกว่านั่งไปเหมือนไม่มีร่างกาย เหมือนไม่มีร่างกายนั่งอยู่ คือไม่รู้ว่า แขนขา หน้าตาเป็นอย่างไร ไม่มีร่างกาย ร่างกายหายไป รูปร่างแขนขาหายไป นั่นคือปฏิบัติได้ตรง
แต่คนที่ปฏิบัติใหม่ๆ มักจะเกิดความตกใจ นั่งไปแล้วร่างกายหายไป ก็ชักกลัว ก็อาจจะถอยหลัง ทำให้มันหยาบ โดยการเลิกปฏิบัติ หรือลืมตา ดูอะไรก็แล้วแต่ หรือการดูลมหายใจไป ดูไปเรื่อยๆ มันไม่นึกถึงความหมาย มันไม่รู้ว่าเข้าหรือออก แต่มันมีความรู้สึกอยู่ มีความรู้สึกของลมที่กระทบอยู่ และอีกส่วนหนึ่ง บางครั้งเมื่อมันมีสมาธิขึ้นมา ร่างกายนี้มันจะปรับ ทำให้ลมละเอียด คือการหายใจเข้าออก มันนุ่มนวล สละสลวยขึ้นจนละเอียดๆ น้อยลงไป น้อยลงไป จนแผ่วเบา จนไม่รู้สึก ทำให้ผู้ปฏิบัติใหม่ๆ เกิดความกลัวว่า ลมหายใจไม่มี กลัวตายขึ้นมาอีก ลมหายใจไม่มีจะตายหรือเปล่า แต่ความเป็นจริง มันมีอยู่ แต่มันละเอียด มันกระทบบางเบามาก ทำให้ไม่รู้สึก อย่าไปกลัว ให้รู้ว่ามีสมาธิขึ้น ลมละเอียดขึ้น ลมก็เลือนหายไปได้
แต่ถ้าเราใช้ความแยบคายสังเกต ก็ปรากฏรู้สึกก็เพราะว่าเข้ามาสู่วิปัสสนา เราก็ทิ้งความหมาย ไม่ต้องไปนึกรู้ความหมายเข้าออก แต่สังเกตความรู้สึกเวลาหายใจเข้า มีความรู้สึกภายใน หายใจออกมีความรู้สึก แต่ไม่มีรูปร่าง ไม่เป็นความหมาย อันนี้คือเป็นปรมัตถธรรม หรือ ปรมัตถอารมณ์
ในเบื้องต้นเราใช้สมมุติ ไปดูความหมาย รู้สัณฐานของขา ของเท้าที่เคลื่อนไป ก้าวไป หรือใช้คำบริกรรมไปด้วย แต่เมื่อเราปฏิบัติเข้ามาสู่ขั้นนี้ ที่เป็นวิปัสสนา ให้สังเกตความรู้สึกเอา ความรู้สึกของการเคลื่อนไหว ขาเท้าที่มันเคลื่อนไหว หรือเวลาเหยียบลงไปมันรู้สึกตึง หรือฝ่าเท้ามันกระทบ รู้สึกแข็ง รู้สึกเย็น รู้สึกร้อน หรือเวลายกมันไหว เหยียบมันตึง มันแข็ง ความรู้สึกนั้นเป็นปรมัตถ์ ความรู้สึกเคลื่อนไหว ความรู้สึกตึง หย่อน เย็น ร้อน ก็มีอยู่ แข็งอ่อนก็มีอยู่ แล้วถ้าหากว่าปฏิบัติยิ่งขึ้นไป
การรู้ปรมัตถ์นี้ก็จะจัดเป็นขั้นที่สาม
ก็เรียกว่ารู้ให้ทั่วไป รู้ปรมัตถ์ให้กว้างขวาง ไม่เจาะจง เฉพาะที่ รู้ให้กว้างขวางทั่วไป เช่น เวลาเดินกระทบผ้า ก็สัมผัสรู้สึกอ่อน หรือลำตัวมันก็มีความรู้สึก ทุกส่วนของกายก็สามารถจะรับรู้ได้ทุกส่วนของกาย เวลาเดิน ไม่จำเป็นต้องรู้เฉพาะเท้าเท่านั้น รู้ได้ทั่วไป เวลานั่งก็เหมือนกัน
ไม่ใช่รู้เฉพาะส่วนใดส่วนหนึ่ง จะรู้ได้ทุกส่วนของร่างกาย มือเท้า แขนขา ที่ใบหน้า ในสมอง ของทุกส่วนของกาย สังเกตไปในความรู้สึกที่มันเคลื่อนไหว ที่มันตึง มันหย่อน หรือจะใช้คำว่ากระเพื่อมๆ รู้สึกกระเพื่อมๆ ไหวๆ หรือจะใช้คำว่ามันสั่นสะเทือน ก็เข้าไปรู้ถึงจิตใจ ไม่ใช่รู้แค่เฉพาะกาย เพราะปรมัตถธรรม ไม่ใช่เฉพาะกายเท่านั้น แต่มีทั้งทางมโนทวาร ทวารทางใจ ก็คือเข้าไปรู้ถึงจิตใจ จิตในจิตก็จะมีทั้ง สิ่งที่ประกอบกับจิต ที่เรียกว่าเจตสิกต่างๆ และจิตผสมกันอยู่ ประกอบกันอยู่ เกิดร่วมกัน จะดูแง่ไหน ดูในแง่ของลักษณะจิต หรือจะดูอาการในจิต หรืออาการของจิตสลับกัน แต่ต้องศึกษาทั้งสองแง่ แง่อาการในจิตก็จะดูได้ง่ายกว่า ดูอาการว่า รู้สึกอย่างไร มีความขุ่นมัว มีความผ่องใส มีความสงบ มีความฟุ้ง มีความเย็นใจ มีความร้อนใจ มีความสบายใจ มีความไม่สบาย เป็นต้น อันนี้ดูในแง่ของ อาการในจิต ปฏิกิริยาหรือความรู้สึกในจิต
อีกแง่หนึ่ง ดูหรือระลึกรู้ลักษณะของจิตโดยตรง ก็คือลักษณะของการรู้อารมณ์ จิตมีลักษณะเดียว คือการรู้อารมณ์ คำว่ารู้อารมณ์ก็หมายถึงการรับรู้ รับรู้ไม่ใช้รู้แบบเข้าใจ รู้แบบรับรู้อารมณ์ รับรู้อารมณ์อยู่เรื่อยๆ หรือจะพูดเพื่อสื่อง่ายๆ ก็ดูความนึกคิดก็ได้ ดูความตรึกนึกคิด เวลาคิดเวลานึกให้สังเกตพิจารณาอยู่นะ
จะเห็นว่านอกจากจะรู้ความรู้สึกเคลื่อนไหวในกายเป็นต้นแล้ว มันก็ยังมีรู้เย็นร้อน อ่อนแข็ง ตึงหย่อน แล้วก็ต้องพยายามรู้ถึงมโนทวาร จิตใจทั้งความรู้สึกในจิต รู้ความตรึกนึก อย่างนี้เรียกว่ารู้กว้างขวาง รู้ได้ทั่วทั้งหมดมาถึงลักษณะนี้ ไม่มีคำบริกรรมอะไรแล้ว แต่อาจจะเอามาใช้ได้เป็นบางครั้ง
คำบริกรรมบางอย่าง แม้จะเป็นสมมุติ แต่ก็เป็นคำสอน ที่ช่วยให้การปฏิบัติ เข้าที่เข้าทาง เข้าร่องเข้ารอยดีขึ้น เช่นคำว่า ปล่อยวาง คำว่า ไม่เอาอะไร สำหรับเอามาใช้ ในขณะที่การปฏิบัตินั้น มีล้ำหน้าเกินไป มันจ้องเกินไป มันเพ่งเกินไป จนเป็นความยึดอารมณ์ เพราะการปฏิบัตินั้น จะต้องเข้าสู่ความเป็นปกติ ความพอ หรือเข้าสู่ความเป็นกลาง เป็นมัชฌิมา ไม่ตกไปข้างตึง ไม่ตกไปข้างหย่อน ถ้าเพ่งเกินไป มันจะกลายเป็นการ ยึดอารมณ์ การเพ่งมาจากการเกิดความอยาก อยากจะให้มันทัน อยากจะให้มันได้อย่างนั้น ก็พยายามจ้องจับติดตามอารมณ์ จนกลายเป็นความยึด เหมือนกัน เข้าไปรับรู้อารมณ์ยึดอารมณ์นั้น จัดว่าเป็นอุปทาน มีอุปทานเข้ามาครอบงำไว้ เมื่อมีความอยาก เรียกว่าตัณหา เข้ามาครอบงำ แม้ในขณะ เจริญสัมปชัญญะนี้ ตัณหาอุปทานมันจะคอยเข้ามาแทรก เข้ามาหนุน ให้สติสัมปชัญญะนั้นไม่บริสุทธิ์ล้วน ไม่เกิดขึ้นเป็นสติสัมปชัญญะ เป็นกุศลธรรม ส่วนต่อกันไป มันคอยจะมีอกุศลเข้ามาแทรกแซง มีตัณหาอุปทานเข้ามาแทรกแซง หรือมีอภิชฌา มีโทมนัส เข้ามาแทรกแซง ฉะนั้นในสติปัฏฐานนั้น สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงได้ตรัสในตอนท้ายไว้ทุกข้อว่า "พึงกำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกให้พินาศ"
อภิชฌาก็คือความเพ่งเล็งอยากได้ องค์ธรรมก็คือตัวโลภะ หรือจะเรียกว่าตัณหาก็ได้ โทมนัส องค์ธรรมก็คือโทสะ โทมนัสก็คือความยินร้าย การปฏิเสธความไม่ต้องการ ก็เป็นตัวโทสะ จะเห็นว่ามันจะเข้ามา คอยจะเข้ามาทำให้สตินึกรู้อะไร อภิชฌาหรือโทมนัสคอยจะเข้ามา ฉะนั้นจะต้องอาศัยความเข้าใจ คอยสังเกต คอยปรับผ่อน เพื่อให้ความเป็นกลาง ให้สติสัมปชัญญะมันบริสุทธิ์ ไม่ตกไปสู่ความอยาก ความยึด ไม่ตกไปข้างยินร้าย ไม่ปฏิเสธผลักดัน ฉะนั้นเมื่อทำสติสัมปชัญญะ รู้จักสภาวะทั่วไปได้ทั้งหมด ทั้งความรู้สึกที่กายได้รับรู้ทั่วไปถึง แต่ว่ายังเป็น ลักษณะเข้าไปเพ่ง ไปจ้อง ไปจับ ไปติดตามอารมณ์ ไปฝักใฝ่ในอารมณ์ ก็ต้องปรับ คอยปรับ คอยผ่อนเข้าไปสู่ความปล่อยวาง ให้มันมีความปล่อยวาง ไปในตัวด้วยกัน คนใหม่ๆ อาจจะปล่อยไม่เป็น ปล่อยไม่ออก ก็อาจจะใช้คำบริกรรมเป็นคำว่า ปล่อยวาง เป็นช่วงๆ
จริงอยู่คำบริกรรมปล่อยวาง เป็นสมมุติเป็นสัททบัญญัติ มันจะช่วยสกัดความอยาก ความยึด ช่วยให้การเข้าไปรู้นี่มีความบริสุทธิ์ขึ้น ไม่ตกเป็นเครื่องมือของความอยาก ความยึด มันจะกลายเป็นรู้แค่รู้ ดูแค่ดู ไม่ใช่รู้แบบอยาก ไม่ใช้รู้แบบยึดนะ ต้องรู้แบบแค่รู้ ดูแค่ดู รู้แค่รู้ นั่นก็คือว่ารู้แค่รู้ ก็หมายถึงมันปลอดจากความอยาก ความยึดนั้น จะเป็นความปล่อยวางไปในตัวของมัน คำว่าปล่อยวาง ไม่ใช่ปล่อยทิ้งไปเลย ไม่สนใจ ไม่รับรู้ ไม่ใช่อย่างนั้น บางคนอาจจะเข้าใจว่า การปล่อยวางหมายถึงการปล่อยทิ้ง ปล่อยวาง ไม่สนใจ ไม่ใช่อย่างนั้น การปล่อยวางในการวิปัสสนา หมายถึงยังรู้อยู่ ยังรับรู้ เพียงแต่รู้แค่รู้ หมายถึงว่าไม่เข้าไปอยาก ไม่เข้าไปยึด เรียกว่ามีความปล่อยวางไปในตัว แล้วยังรับรู้ สภาวธรรมต่างๆ รับรู้อารมณ์ในสภาวะอันใดก็ปล่อย รับรู้แล้วปล่อยวางๆ ไป เรียกว่าเป็นสติสัมปชัญญะที่ประกอบด้วยอโลภะ อโทสะ คือความไม่โลภ ไม่โกรธ คือความหลุดรอดจากอภิชฌาและโทมนัส มันหลุดรอดจากความโลภ ก็กลายเป็นไม่โลภ เป็นคุณชาติ คุณธรรมของฝ่ายกุศล ไม่มีโทมนัส มันก็กลายเป็นอโทสะ ความไม่โกรธ ก็เป็นเจตสิกธรรมที่เป็นฝ่ายกุศล
ฉะนั้นสรุปแล้วว่า การปฏิบัติจะต้องมีการปรับผ่อน ปล่อยวาง เข้าไปสู่สภาพการไม่บังคับ ถ้าเรายังสังเกตว่า ยังมีการบังคับอยู่ไม่ถูกส่วน ก็ต้องมีการปรับผ่อน เมื่ออยู่ในสภาพของการไม่บังคับ ก็จะกลายเป็นไม่เลือกอารมณ์ มันจะรับรู้อารมณ์ได้ทั่วไป แต่อารมณ์นั้นเป็นปรมัตถ์ มันก็จะวนเวียนอยู่เป็นกาย เป็นเวทนา เป็นจิต เป็นธรรม ครบครอบคลุมในสติปัฏฐานทั้งสี่ เมื่อทำได้ส่วน มันก็จะเกิดความเบากาย เบาใจ เกิดความรู้เห็นธรรมชาติ ความเป็นจริง ก็คือการเห็นสภาวะ สภาวะที่เรียกว่ารูปธรรม นามธรรม ความเย็นร้อน อ่อนแข็ง หย่อนตึง เป็นรูปธรรม เป็นความรู้สึก เป็นนามธรรม สภาพที่เข้าไปรู้ ก็เป็นนามธรรม เมื่อเห็นธรรมชาติเหล่านี้ ทั้งสิ่งที่ปรากฏที่กาย ปรากฏที่จิตใจ มันมีการเปลี่ยนแปลง มีการเกิดดับ ก็เรียกว่าเห็นความเป็นจริงขึ้น เห็นรูปนามมีความเกิดดับ แสดงลักษณะความไม่เที่ยง เรียกว่า ทุกขนิจจลักษณะ ปรากฏความเกิดดับ ทุกขลักษณะปรากฏ เห็นสภาพบังคับบัญชาไม่ได้ อนัตตลักษณะ กับปรากฏก็จะเป็นวิปัสสนาขึ้นมา
วิปัสสนาก็คือการเข้าไปเห็นรูป เห็นนามเกิดดับ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
ไม่ใช่เห็นอย่างอื่น ต้องเห็นรูปนาม เห็นเป็นเพียงสภาวะเป็นรูปเป็นนาม เห็นรูปนามเกิดดับเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาจึงจะเป็นวิปัสสนาเกิดขึ้น จึงจะเรียกว่าปัญญาที่รู้จริง รู้แจ้งขึ้น เมื่อรู้อย่างนี้ รู้จักรูป รู้จักนาม วางท่าที กำหนดท่าที ได้ถูกต้อง ทำอย่างนี้เรื่อยไป เอารูปนามเป็นกรรมฐาน เป็นที่เกาะ เป็นที่ตั้งของสติเรื่อยไป เป็นทางเดินเรื่อยไป สติปัญญาจะต้องเดินไป
ตามรูปนาม จะต้องดูรูปนามเรื่อยไป แล้วดูปรมัตถ์ กำหนดดูรู้สึกในกาย ในจิตใจเรื่อยไป คือมีปรมัตถ์เป็นอารมณ์เรื่อยไป ระหว่างที่ปฏิบัติไป ก็เรียกว่า เราก็ทำได้ ไม่ใช่ เดี๋ยวกำหนดได้ กำหนดไม่ได้ เดี๋ยวรู้ เดี๋ยวเผลอ เดี๋ยวตึงเกินไป เดี๋ยวหย่อนเกินไป ก็ต้องพยายามระลึกรู้ให้ตรง รู้ให้ตรง ปล่อยจาก บัญญัติ เข้ามาปรมัตถ์ เดี๋ยวจะออกจากบัญญัติไปปรมัตถ์ คอยจะเพลิน นึกถึงความหมายเป็นชื่อ เป็นภาษา ก็คอยกลับเข้ามา เดี๋ยวก็ไปอีกแล้ว คิดเพลินไปอีก ก็รู้อีก มันคิดก็รู้ความคิด คอยจะกลับเข้าสู่ปรมัตถ์อยู่เรื่อยๆ ไปบัญญัติก็กลับมาปรมัตถ์ แล้วก็คอยปรับผ่อนให้เป็นกลาง คอยปรับผ่อน ให้เป็นปกติ ไม่ฝืนไม่บังคับ ก็จะมีความรู้ละเอียดลุ่มลึก ไปตามลำดับเรื่อยๆ ไป เรียกว่า วิปัสสนาก็จะเจริญขึ้นไปตามขั้นตอน ตั้งแต่การเพ่ง สมมุติบัญญัติ แล้วก็เข้าสู่สภาวะปรมัตถ์ แล้วก็ดูปรมัตถ์ให้เป็นทั่วไป ปรับผ่อนปรมัตถ์ให้เป็นกลางเป็นปกติ ก็จะเป็นแนวทางไปสู่วิมุตติ อันเป็นเป้าหมายของการปฏิบัติ คือความหลุดพ้น
วิมุตติแปลว่าหลุดพ้น หลุดพ้นจาก อาสวะกิเลส เข้าไปบรรลุมรรคผลนิพาน อันเป็นเป้าหมายสูงสุด ของการปฏิบัติ ซึ่งก็ต้องอาศัยมีปัญญาญาณที่เป็นวิปัสสนา วิปัสสนาญาณที่จะนำไปสู่วิมุตติ ไปสู่มรรคผลนิพาน ก็ต้องเห็นรูปเห็นนาม เห็นการเกิดดับ เรื่อยไป เพราะฉะนั้นก็ต้องอาศัยความพากเพียร ปฏิบัติเรื่อยไป แม้จะทำเป็น แม้จะเข้าใจ ก็ไม่ใช่มันจะจบลงได้ทันที รู้เข้าใจ ปฏิบัติถูก แต่มันก็ต้องทำให้มันเกิดขึ้นบ่อยๆ เนืองๆ ระลึกรู้ให้ตรง ให้เป็น ต้องทำให้เกิดขึ้นต่อเนื่องไป จนกว่ามันจะแจ่มแจ้ง แจ้งชัดขึ้นไปตามลำดับนะ วันนี้ก็พอสมควรกับเวลาของยุติไว้แต่เพียงเท่านี้ ขอความสุขความเจริญในธรรมจงมีแก่ทุกท่านเทอญ...
พระครูเกษมธรรมทัต (สุรศักดิ์ เขมรังสี)