พึงระลึกว่าสติปัฏฐาน ๔ แท้จริงแล้ว
เป็นการอบรมจิต ให้มีสติตั้งมั่น คือสติที่ประกอบด้วยสัมมาสมาธิ ๑
เมื่อประกอบด้วยสติตั้งมั่นดีแล้ว ก็ย่อมเหมาะแก่การใช้งานคือการเจริญวิปัสสนาในธรรม อันย่อมเป็นเครื่องหนุนให้เกิดปัญญา ๑
สติปัฏฐาน ๔ จึงเป็นสมถวิปัสสนาอันดีเลิศ คือประกอบด้วยทั้ง สติ สมาธิ(สัมมาสมาธิ) และปัญญา
ดังนั้นสติปัฎฐาน ๔ จึงเป็นการอบรมจิตให้มีสติให้ตั้งมั่น แล้วยังประกอบด้วยการใช้สติที่ย่อมระงับแล้วซึ่งความดำริพล่านไม่ส่งออกไปฟุ้งซ่านปรุงแต่ง เป็นบาทฐานไปในการเจริญวิปัสสนาในธรรมให้เกิดปัญญาญาณ ธรรมใดเล่า ก็กาย เวทนา จิต หรือธรรมใดๆ ที่ถูกต้อง ถูกจริต ดังเช่นที่แสดงไว้บ้างแล้วในธัมมานุปัสสนาบ้าง เช่น อริยสัจ ๔ ขันธ์ ๕ พระไตรลักษณ์ ฯ. หรือเป็นธรรมอื่นๆเช่น ปฏิจจสมุปบาท ฯ. ส่วนในการปฏิบัติในการดำเนินในชีวิตประจำวัน นั้นก็เช่นกัน มีสติละความดำริพล่านแล้ว ก็มีสติหรือจิตเห็นกาย หรือเวทนา หรือจิต หรือธรรม อยู่เนืองๆในชีวิตประจำวันนั้นๆนั่นเอง แล้วประกอบด้วยการไม่ยึดมั่นถื่อมั่น ด้วยการอุเบกขาเป็นกลางวางทีเฉย ที่หมายถึง รู้สึกเป็นสุขหรือทุกข์อย่างไรไม่สำคัญเป็นไปตามธรรมหรือตามผัสสะที่เกิดขึ้นของมันเป็นธรรมดา แต่ต้องไม่เอนเอียงเข้าไปแทรกแซง ด้วยถ้อยคิด หรือกริยาจิตใดๆในเรื่องนั้นๆ แม้แต่การ เอ๊ะ อ๊ะ
แล้วเอ๊ะ้ อ๊ะ คืออะไร? บางครั้งแลดูราวกับว่าไม่ได้เกิดธรรมารมณ์พวกฟุ้งซ่านหรือปรุงแต่งขึ้น แต่การคิดเล็กน้อยแม้ดั่งการเอ๊ะ อ๊ะ ใดๆในจิตดังกล่าว แม้แลดูเหมือนว่าไม่มีโทษภัย แต่ความจริงแล้วจิตแฝงด้วยความหมายอยู่ในที เพียงแต่ไม่เห็นจิตหรือกริยาของจิตนั่นเอง การเ๊อ๊ะอ๊ะจึงเป็นกริยาจิต เป็นธรรมารมณ์พวกความคิดฟุ้งซ่านหรือปรุงแต่งอย่างหนึ่งนั่นเอง จึงย่อมยังให้เกิดการผัสสะเป็นสุขเป็นทุกข์ขึ้นได้เป็นธรรมดา ดังเช่น
เอ๊ะ! (ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ ไม่เป็นอย่างนั้นตามใจปรารถนา)
เอ๊ะ! (ไม่น่าเลย)
เอ๊ะ! (ทำไมถึงทำอย่างนี้กับฉันได้)
อ๊ะ! (ต้องอย่างนี้สิ)
ด้วยเหตุนี้จึงกล่าวครอบคลุมว่า หยุดแทรกแซงด้วยทั้งถ้อยคิด แม้กริยาจิตดังเช่นการเอ๊ะอ๊ะดังกล่าว และไม่ใช่หมายถึงการต้องหยุดคิดทั้งปวง คิดเรื่องอื่นได้แต่อย่าให้เป็นพวกความคิดชนิดฟุ้งซ่านหรือปรุงแต่งไปให้เกิดทุกข์ เช่นคิดพิจารณาในธรรมคือเห็นจิตที่เกิดขึ้นนี้ หรือคิดเรื่องกิจหรืองานใดๆอันควร ฯ.
กล่าวโดยรวมแล้ว การมีสติหรือจิต อยู่กับสิ่งหนึ่งสิ่งใดในธรรมทั้ง ๔ ย่อมล้วนยังให้จิตหยุดการฟุ้งซ่านออกไปปรุงแต่งต่างๆให้เกิดสุขทุกข์ แต่อยู่ในธรรมทั้ง ๔ ที่เมื่อสั่งสมย่อมยังให้เกิดสติแก่กล้าและถาวรขึ้นเป็นลำดับ และเมื่อไม่ฟุ้งซ่านจิตย่อมสงบระงับเหมาะแก่การพิจารณาธรรมคือเจริญวิปัสสนาให้เกิดปัญญาเป็นที่สุด
สติแก่กล้าและถาวร ที่หมายถึง ระลึกรู้ได้เร็ว อยู่เสมอๆ สตินั้นก็เหมือนสังขารทั้งปวง เกิดดับๆๆ อยู่เสมอ กล่าวคือเมื่อเกิดการผัสสะขึ้นก็เกิดการระลึกรู้เท่าทันขึ้นเสมอๆ อันเกิดขึ้นจากการปฏิบัติสั่งสมนั่นเอง หรือก็คืออาการของมหาสตินั่นเอง
