Recent Posts

เคล็ดลับของการปฏิบัติในสติปัฏฐานทั้ง ๔

   

     หมายถึงขณะศึกษาปฏิบัติแบบเต็มรูปแบบ  ล้วนอยู่ที่การมีสติเป็นสำคัญ  จึงไม่ใช่การพยายามปฏิบัติให้เป็นสมาธิหรือฌานในระดับประณีตแต่อย่างใด  เพียงแต่อาจเกิดขึ้นบ้างเป็นธรรมดาเมื่อสติอ่อนเลื่อนไหลไปลงภวังค์ หรืออาจเข้าสู่ฌานสมาธิในระดับที่ละเอียดประณีตแต่ย่อมไม่อาจเจริญวิปัสสนาได้   จึงพึงตั้งกายตรง ดำรงสติให้มั่น ก็เพื่อมิให้เลื่อนไหลขาดสติไปลงภวังค์ิ หรือมิให้ง่วงงุนได้ง่ายๆนั่นเอง   และอาการตามดูหรือรู้ลมหายใจอย่างมีสตินั้น เช่นหายใจเข้ายาว ก็รู้ว่าเข้ายาว  ออกสั้นก็รู้ว่าออกสั้น หรือหยุดก็รู้ว่าหยุด ฯ. ดีกว่าการบริกรรมล้วนๆ เพราะสติที่เฝ้าติดตามทำหน้าที่อย่างดียิ่งย่อมได้ทั้งสติและสัมมาสมาธิคือจิตตั้งมั่น ย่อมทำให้ไม่ง่วงงุนจนเลื่อนไหลไปลงภวังค์ได้ง่ายๆอีกเช่นกันนั่นเอง   ดังนั้นวิธีการต่างๆในการปฏิบัติที่แตกต่างกันไปตามครูบาอาจารย์นั้น ถ้าถูกต้องล้วนก็คืืออุบายวิธีเพื่อให้มีสติตั้งมั่น ที่ย่อมได้สมาธิเป็นผลพลอยได้อีกด้วย, 

        พึงระลึกว่าสติปัฏฐาน ๔  แท้จริงแล้ว

        เป็นการอบรมจิต ให้มีสติตั้งมั่น คือสติที่ประกอบด้วยสัมมาสมาธิ ๑

        เมื่อประกอบด้วยสติตั้งมั่นดีแล้ว  ก็ย่อมเหมาะแก่การใช้งานคือการเจริญวิปัสสนาในธรรม  อันย่อมเป็นเครื่องหนุนให้เกิดปัญญา ๑

        สติปัฏฐาน ๔ จึงเป็นสมถวิปัสสนาอันดีเลิศ คือประกอบด้วยทั้ง สติ สมาธิ(สัมมาสมาธิ) และปัญญา

        ดังนั้นสติปัฎฐาน ๔ จึงเป็นการอบรมจิตให้มีสติให้ตั้งมั่น  แล้วยังประกอบด้วยการใช้สติที่ย่อมระงับแล้วซึ่งความดำริพล่านไม่ส่งออกไปฟุ้งซ่านปรุงแต่ง เป็นบาทฐานไปในการเจริญวิปัสสนาในธรรมให้เกิดปัญญาญาณ    ธรรมใดเล่า  ก็กาย เวทนา จิต หรือธรรมใดๆ ที่ถูกต้อง ถูกจริต ดังเช่นที่แสดงไว้บ้างแล้วในธัมมานุปัสสนาบ้าง เช่น อริยสัจ ๔ ขันธ์ ๕ พระไตรลักษณ์ ฯ. หรือเป็นธรรมอื่นๆเช่น ปฏิจจสมุปบาท ฯ.   ส่วนในการปฏิบัติในการดำเนินในชีวิตประจำวัน นั้นก็เช่นกัน มีสติละความดำริพล่านแล้ว ก็มีสติหรือจิตเห็นกาย หรือเวทนา หรือจิต หรือธรรม อยู่เนืองๆในชีวิตประจำวันนั้นๆนั่นเอง แล้วประกอบด้วยการไม่ยึดมั่นถื่อมั่น ด้วยการอุเบกขาเป็นกลางวางทีเฉย ที่หมายถึง รู้สึกเป็นสุขหรือทุกข์อย่างไรไม่สำคัญเป็นไปตามธรรมหรือตามผัสสะที่เกิดขึ้นของมันเป็นธรรมดา  แต่ต้องไม่เอนเอียงเข้าไปแทรกแซง ด้วยถ้อยคิด หรือกริยาจิตใดๆในเรื่องนั้นๆ  แม้แต่การ เอ๊ะ  อ๊ะ

        แล้วเอ๊ะ้ อ๊ะ คืออะไร?  บางครั้งแลดูราวกับว่าไม่ได้เกิดธรรมารมณ์พวกฟุ้งซ่านหรือปรุงแต่งขึ้น  แต่การคิดเล็กน้อยแม้ดั่งการเอ๊ะ อ๊ะ ใดๆในจิตดังกล่าว แม้แลดูเหมือนว่าไม่มีโทษภัย  แต่ความจริงแล้วจิตแฝงด้วยความหมายอยู่ในที เพียงแต่ไม่เห็นจิตหรือกริยาของจิตนั่นเอง  การเ๊อ๊ะอ๊ะจึงเป็นกริยาจิต เป็นธรรมารมณ์พวกความคิดฟุ้งซ่านหรือปรุงแต่งอย่างหนึ่งนั่นเอง  จึงย่อมยังให้เกิดการผัสสะเป็นสุขเป็นทุกข์ขึ้นได้เป็นธรรมดา ดังเช่น

        เอ๊ะ! (ทำไมถึงเป็นอย่างนี้  ไม่เป็นอย่างนั้นตามใจปรารถนา)

        เอ๊ะ! (ไม่น่าเลย)

        เอ๊ะ! (ทำไมถึงทำอย่างนี้กับฉันได้)

        อ๊ะ! (ต้องอย่างนี้สิ)

        ด้วยเหตุนี้จึงกล่าวครอบคลุมว่า หยุดแทรกแซงด้วยทั้งถ้อยคิด แม้กริยาจิตดังเช่นการเอ๊ะอ๊ะดังกล่าว   และไม่ใช่หมายถึงการต้องหยุดคิดทั้งปวง   คิดเรื่องอื่นได้แต่อย่าให้เป็นพวกความคิดชนิดฟุ้งซ่านหรือปรุงแต่งไปให้เกิดทุกข์  เช่นคิดพิจารณาในธรรมคือเห็นจิตที่เกิดขึ้นนี้  หรือคิดเรื่องกิจหรืองานใดๆอันควร ฯ.

        กล่าวโดยรวมแล้ว การมีสติหรือจิต อยู่กับสิ่งหนึ่งสิ่งใดในธรรมทั้ง ๔ ย่อมล้วนยังให้จิตหยุดการฟุ้งซ่านออกไปปรุงแต่งต่างๆให้เกิดสุขทุกข์  แต่อยู่ในธรรมทั้ง ๔  ที่เมื่อสั่งสมย่อมยังให้เกิดสติแก่กล้าและถาวรขึ้นเป็นลำดับ  และเมื่อไม่ฟุ้งซ่านจิตย่อมสงบระงับเหมาะแก่การพิจารณาธรรมคือเจริญวิปัสสนาให้เกิดปัญญาเป็นที่สุด

        สติแก่กล้าและถาวร ที่หมายถึง ระลึกรู้ได้เร็ว อยู่เสมอๆ  สตินั้นก็เหมือนสังขารทั้งปวง เกิดดับๆๆ อยู่เสมอ กล่าวคือเมื่อเกิดการผัสสะขึ้นก็เกิดการระลึกรู้เท่าทันขึ้นเสมอๆ อันเกิดขึ้นจากการปฏิบัติสั่งสมนั่นเอง   หรือก็คืออาการของมหาสตินั่นเอง