Recent Posts

ความว่าง 2 ลักษณะ



          ลักษณะแรก ความว่างที่เกิดจากสมาธิ  เช่นเรานั่งสมาธิจนได้ฌานใดฌานหนึ่ง ก็ว่างแล้ว เมื่อถอยออกจากสมาธิ อารมณ์สมาธิจะยังคงค้างอยู่เป็นชั่วโมง เป็นวัน เป็นเดือน ก็เกิดขึ้นได้ ก็เป็นความว่างเช่นกัน ความว่างแบบนี้จิตจะเป็นอุเบกขาอิ่มเย็น ได้รับความสุขจากสมาธิ จนไม่อยากคลายออกจากอารมณ์นั้นๆ แต่ความว่างประเภทนี้ยังเป็นความว่างแบบสมถะ ยังไม่ใช่ความว่างที่จะก่อเกิดปัญญา มันว่างเฉยๆ ไม่มีความรู้ใดๆเกิดขึ้นจากความว่าง นักเลงสมาธิต้องพบความว่างแบบนี้กันทุกคน และส่วนใหญ่ติดใจในอารมณ์อิ่มเย็นแบบนี้กันเสียเป็นส่วนมากเลยไม่คิดที่จะนำความว่างประเภทนี้มาสร้างปัญญา และถ้าลงติดใจในอารมณ์เย็นจากสมาธิแล้วละก็สลัดหลุดยากจริงๆ

          ความว่างประเภทที่สอง ความว่างที่เกิดจากการมีสติ คือการนำความรู้ประเภทโลกุตรธรรมที่มีอยู่ที่ได้ร่ำเรียนมา แล้วนำความรู้นั้นมาระลึกชอบ หรือมาสร้างสัมมาสติ เช่น ความรู้เรื่องไตรลักษณ์ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นภัย เป็นของว่างเปล่า เป็นของหลอกลวง  นำมาระลึก ระลึกแล้วระลึกอีก ก็สามารถหยุดปรุงคือหยุดคิดได้เหมือนกัน เมื่อหยุดคิดเป็นมันก็จะว่าง จิตเป็นอุเบกขา แล้วก่อตัวเป็นสมาธิอ่อนๆ จิตก็จะอิ่มเย็นเป็นอุเบกขาสงบนิ่ง จนกลายเป็นความว่างได้เช่นเดียวกัน แต่ความว่างประเภทนี้จะเกิดปัญญา คืออย่างน้อยๆก็ต้องรู้วิธีปล่อยวางสิ่งที่จิตไปเกาะ รู้ว่าเมื่อเราระลึกชอบแบบนี้ผลคือทำให้เราเห็นความจริงว่าสิ่งนี้มันเป็นเช่นนี้คือมันว่างอย่างนี้ เมื่อว่างอย่างนี้กระบวนการปล่อยวาง มันจะปล่อยวางแบบนี้ ผลการปล่อยวางมันจะว่างอย่างนี้ ความไม่มีตัวตน คน สัตว์มันก็จะปรากฏแบบนี้ ความว่างประเภทที่สองจะมีการทำงานอยู่ภายในลักษณะแบบนี้ จึงเรียกว่าสติชอบมาปัญญาชอบเกิด ปัญญาชอบที่เกิดจะเกิดจากการโยนิโสมนสิการในของจริงที่ปรากฏเป็นลำดับๆจากการมีสติชอบ ซึ่งเหมือนในตำราคือเห็นความไม่เที่ยงจริงๆว่ามันเป็นอย่างไรสิ่งเป็นทุกข์มันรู้สึกอย่างไร ความไม่มีตัวตนมันไม่มีสภาพความใม่มีสภาพมันเป็นอย่างไร คือการมีสติชอบมันจะเกิดปัญญาพร้อมๆกับความว่าง ยิ่งทำมากทำบ่อยปัญญายิ่งแก่กล้า ความว่างก็ยิ่งว่างลึกยิ่งว่างลึกสมาธิก็ยิ่งก่อตัวลึก เป็นห่วงโซ่ของความว่าง เป็นไปเองเหมือนสมาธิแบบแรก แต่สมาธิแบบสองมันว่างพร้อมๆกับเกิดความรู้เป็นเรื่องๆเป็นตอนๆตามแต่เราจะระลึกชอบเรื่องอะไร ก็จะเกิดความว่างพร้อมปัญญารู้ทั่วถึงในธรรมชาติของไตรลักษณ์ตามที่เราใช้ระลึก

          จุดนี้อาจต้องปฏิบัติเอง หากใช้การคิดยากที่จะเข้าใจ และอาจคิดเอาเองว่าตอนที่เกิดปัญญาเราก็ต้องมีความคิด แต่ของจริงปัญญาที่เกิดจากความว่างนี้มันเกิดเอง เข้าใจเอง รู้แจ้ง เห็นจริงเอง โดยไม่ต้องคิด คือพอว่างก็รู้เลยว่า ตัวเราไม่มีตัวตนของสิ่งไร ๆ ก็ไม่มีมันเป็นอย่างนี้ และเมื่อรู้ในขั้นนี้ได้ ต่อไปก็จะใช้ความรู้อันใหม่นี้ นี่แหละไประลึกชอบอีกต่อหนึ่ง คราวนี้ก็จะได้ความรู้ที่เกิดโดยไม่ต้องคิด ลึกขึ้นไปอีก ความรู้ยิ่งลึก ความว่างก็ลึกตาม สมาธิก็ลึกตาม สัมมาญาณะก็ลึกตาม การปล่อยวาง (สัมมาวิมุตติ) ก็เด็ดขาดเข้มแข็งขึ้น จนอาจปล่อยวางหรือหลุดพ้นอย่างถาวรได้เลย นี่คือความว่างที่เกิดจากการมีสติชอบ สมาธิชอบ ปัญญาชอบ

เจริญธรรม...สมสุโขภิกขุ
ที่มา : ธรรมะติดดิน โดย สมสุโขภิกขุ