Recent Posts

มุมมอง : มารู้จัก"สติ"

      สติ ตามความหมายในทางพุทธศาสตร์แปลว่า ความระลึกได้, นึกได้, ความไม่เผลอ, การคุมใจไว้กับกิจ หรือกุมจิตไว้กับสิ่งที่เกี่ยวข้องหรือการปฏิบัตินั่นเอง

        สติเป็นสิ่งสำคัญยิ่งในการปฏิบัติในทางพุทธศาสนา เช่น สติในมรรค ๘ หรือสติในโพชฌงค์๗ สติในสติปัฏฐาน ๔ เป็นต้น. อันเป็นเหตุปัจจัยอันสําคัญยิ่งในการบรรลุถึงจุดหมายในการดับทุกข์ หรือความจางคลายหายจากทุกข์ ในที่นี้ผู้เขียนจะกล่าวจําเพาะเจาะจงลงไปในเรื่องเกี่ยวกับการปฏิบัติ โดยเฉพาะสติให้เห็นเวทนาและจิตเป็นสําคัญ (เวทนานุปัสสนา และจิตตานุปัสสนา ในสติปัฏฐาน๔)

         สตินั้นก็คือ กริยาหรืออาการหนึ่งของจิตนั่นเองที่ทำหน้าที่ระลึกได้ หรือสำนึกพร้อม  เป็นหนึ่งในเจตสิก ๕๒ เป็นสังขารขันธ์คือการกระทำทางใจหรือจิตอย่างหนึ่ง  และเป็นสังขารขันธ์ที่พระพุทธองธ์ทรงสรรเสริญยิ่งว่า "สติ  มีประโยชน์ในที่ทั้งปวง"   จึงเป็นภาเวตัพพธรรม สิ่งที่ควรภาวนาคือทำให้เจริญขึ้น

         พึงจดจำไว้ว่า สติที่ใช้ในการปฏิบัติเพื่อการดับไปแห่งทุกข์นั้น  ทำหน้าที่สำคัญที่สุดอย่างยิ่ง คือเพื่อระลึกอย่างเท่าทันในเวทนาและจิตสังขารเป็นจุดประสงค์สำคัญสูงสุด  ถ้าไม่เท่าทันในเวทนาแล้ว จึงพึงให้ระลึกอย่างเท่าทันในจิต หรือสังขารจิตนั่นเอง เช่น จิตคิดฟุ้งซ่าน จิตคิดหดหู่ หรือจิตคิดปรุงแต่งต่างๆนั่นเอง อันเป็นผลที่เกิดขึ้นต่อเนื่องมาจากเวทนานั่นเอง  เพราะสังขารคิดหรือธรรมารมณ์บางอย่างยังให้เกิดเวทนาอันแผ่วเบา เช่น อทุกขมสุขเวทนาจึงย่อมเห็นคือระลึกรู้ได้ไม่ชัดเจนเหมือนจิตสังขาร เช่น ความคิดปรุงแต่ง,โทสะ, ราคะ,หดหู่ ฯ. นั่นเอง   ดังนั้นการมีสติเห็นเวทนาหรือจิตสังขารจึงเอื้ออำนวยประโยชน์ต่อกัน   ดังนั้นการฝึกสติและอุบายวิธีทั้งหลายทั้งปวงเป็นร้อยเป็นพัน ก็สรุปลงมาที่จุดประสงค์สูงสุดเดียวนี้เท่านั้นจริงๆ   

        เมื่อสติระลึกรู้เท่าทันเวทนาหรือจิตสังขารได้แล้ว   ปัญญาจึงทำหน้าที่จัดการต่อไป  ดังเช่น นิพพิทาญาณ  ปัญญาที่รู้เข้าใจตามความเป็นจริงจึงยังให้เกิดความหน่ายคลายความกำหนัด จึงไม่ไปยึดไปอยากอันเกิดขึ้นจากการไปรู้ตามความเป็นจริงที่เป็นไปของธรรมนั้นๆ ทุกข์จึงจางคลายหรือดับไป,   ขอเน้นสักนิดหนึ่ง สติรู้เท่าทันเวทนาหรือจิตในชีวิตประจำวัน  ต้องไม่ใช่ไปจดจ่อ จดจ้อง หรือโฟกัสในเวทนาหรือจิตที่ระลึกรู้เหล่านั้นอย่างไม่ปล่อยวาง  รู้เท่าทันแล้วพึงปล่อยวางหรืออุเบกขาเสียนั่นเอง   อันพึงยกเว้นในขณะเจริญวิปัสสนาหรือพิจารณาธรรมหรือโยนิโสมนสิการเท่านั้นที่เป็นไปเพื่อก่อสติและปัญญา

          การมีสติตามลมหายใจ หรือสติในอิริยาบถ หรือการเคลื่อนไหว(สัมปชัญญะ)ในกายานุปัสสนาของสติปัฏฐาน ๔ หรือในกายคตาสติสูตรนั้น  ก็เป็นการฝึกสติและเป็นเครื่องอยู่ของจิตอันดียิ่งอย่างหนึ่ง  แต่พึงเข้าใจด้วยว่าเป็นการฝึกสติในเบื้องต้น รวมทั้งเป็นเครื่องอยู่ของจิตไม่ให้ซัดส่ายออกไปปรุงแต่งหรือฟุ้งซ่านออกไปภายนอกให้เป็นทุกข์  ก็เพื่อให้มีสติเป็นสัมมาสมาธิที่หมายถึงต่อเนื่องหรือตั้งมั่นในระดับขณิกสมาธิ เพื่อเป็นกำลังหรือบาทฐานในการฝึกสติต่อไปในขั้นเวทนานุปัสสนาและจิตตานุปัสสนา หรือเพื่อใช้สติไปในการพิจารณาธรรม(ธรรมานุปัสสนา)  อันเป็นไปเพื่อการดับอุปาทานทุกข์โดยตรง 

         ดังนั้นถ้าปฏิบัติแต่ตามลมหายใจ อิริยาบถหรือสัมปชัญญะโดยไม่ดำเนินการปฏิบัติในขั้นต่อไปเลย ย่อมก่อให้เกิดความชงักงันเป็นธรรมดา  ในขั้นแรกอาจได้ความสงบ แต่ถ้าไม่ดำเนินให้เกิดปัญญาต่อไป  จนถึงขั้นไปติดเพลินจึงกลายเป็นมิจฉาสติหรือมิจฉาสมาธิเสียก็เป็นได้
       
        มีสติเห็นเวทนาหรือจิต  พร้อมทั้งปัญญาความเข้าใจ(ญาณ)ในเวทนาหรือจิตหรือจิตสังขาร  ให้เหมือนดั่งตาเห็นรูป หรือหูได้ยินเสียง กล่าวคือ มีสติระลึกรู้ในเวทนาหรือจิตคิด  พร้อมทั้งปัญญาความเข้าใจ ให้ได้อุปมาดั่งตาเห็นรูปหรือตัวอักษร ที่สติเห็นระลึกรู้และปัญญาเข้าใจในสิ่งที่เห็นนั้น  หรือดั่งเมื่อหูได้ยินระลึกรู้เสียงไพเราะหรือไม่, พร้อมทั้งเข้าใจในความหมายที่สื่อนั้น   หรือกล่าวอย่างสั้นๆว่า มีสติเพื่อทำญาณให้เห็นจิต  ให้เหมือนตาเห็นรูป อันเป็นไปตามหลักปฏิบัติ สติปัฎฐาน๔ คือเห็นเวทนาหรือจิต(จิตสังขาร)ที่เกิดขึ้นบ้าง หรือเห็นความเสื่อมไปบ้าง หรือเห็นความดับลงไปบ้าง
หรือเห็นความเกิดขึ้นในบุคคลอื่นบ้าง  ในตนเองบ้าง ฯ.

         อนึ่งควรมีความเข้าใจให้ถูกต้อง  เมื่อฝึกสติ ย่อมเป็นเหตุปัจจัยเครื่องสนับสนุนให้เกิดสมาธิขึ้นด้วยเป็นธรรมดา  กล่าวคือ การมีสติ อย่างแน่วแน่คือเป็นไปได้อย่างต่อเนื่องในการปฏิบัติ
       
        สมาธินี้ จึงหมายถึง ความมีสติต่อเนื่องอยู่ในการปฏิบัติ  มิได้หมายถึงสมถสมาธิที่เข้าถึงแต่ความประณีตความสงบความสบายแต่อย่างใด   สมถสมาธิเป็นสมาธิเริ่มต้นเพื่อฝึกจิตให้เป็นสมาธิในเบื้องต้น เพื่อไม่ให้ซัดส่ายเป็นทุกข์ เพื่อให้มีกำลังของจิตใช้ไปในการปฏิบัติขั้นต่อไป คือการวิปัสสนาเพื่อการดับทุกข์อย่างจริงจังเท่านั้น   เนื่องจากในปัจจุบันมีการเน้นการฝึกสมถสมาธิแต่อย่างเดียว  แต่ก็เรียกกันโดยทั่วไปว่าสมถวิปัสสนาบ้าง พระกรรมฐานบ้าง  ผู้ไม่รู้จึงไปเข้าใจผิด คิดว่าปฏิบัติวิปัสสนาที่จำเป็นต้องอาศัยปัญญาให้เข้าใจธรรมอันเป็นหนทางแห่งการดับทุกข์แล้ว  ทั้งๆที่ยังไม่ได้ปฏิบัติวิปัสสนาแต่อย่างใด  จึงกลับกลายดำเนินไปในรูปของมิจฉาสมาธิแต่ฝ่ายเดียวโดยไม่รู้ตัวด้วยอวิชชา   ดังเช่นการปฏิบัติอานาปานสติแต่กลายเป็นมิจฉาสติ   จึงยังให้เกิดเป็นมิจฉาสมาธิอันให้โทษ    ดังนั้นเมื่อปฏิบัติสมถสมาธิแล้ว จึงควรเจริญในวิปัสสนาทุกครั้ง  จึงยังให้สมาธินั้นเป็นสัมมาสมาธิอันถูกต้อง กล่าวคือเป็นบาทฐานเครื่องสนับสนุนการวิปัสสนา

วัตถุประสงค์ในการเจริญสติ
         ๑. ฝึกสติให้เห็นจิต   หมายถึง ระลึกรู้เท่าทันจิต (หมายรวมทั้ง เวทนา-ความรู้สึกรับรู้  และจิตสังขาร เช่น ความคิด, คิดปรุงแต่ง, โมหะ, โทสะ, โลภะ ฯ.)
        ๒. ฝึกสติให้เห็นความแตกต่างของความรู้สึก(เวทนา)ระหว่าง จิตขณะปกติ และขณะที่ จิตปรุงแต่ง เพื่อให้เห็นโดยปัจจัตตัง คือเห็นรู้ด้วยตนเอง
        ๓. ฝึกสติ ให้ชำนาญอย่างต่อเนื่องในการเห็น จิต (เห็นใน เวทนา+จิตสังขาร อย่างเป็นสัมมาสมาธิ)
        ๔. ฝึกสติ ไม่ให้ไปคิดนึกปรุงแต่งต่อจากจิต(เวทนา+จิตสังขาร)ที่เห็นหรือเกิดขึ้นนั้น (หมายถึงยังมีคิดเป็นปกติธรรมดาของขันธ์๕ที่ยังกระทบแล้วรู้สึกเป็นธรรมดา  แต่ไม่คิดปรุงแต่งชนิดที่ยังให้เกิดทุกข์ต่อ) หรือคือการฝึกสติในการถืออุเบกขานั่นเอง
        ๕. ฝึกสติให้เห็นความแตกต่างของความรู้สึกระหว่าง เมื่อจิตไม่รู้เท่าทันไปปรุงแต่ง กับ จิตที่รู้เท่าทันแล้วถืออุเบกขา

หลักสําคัญในการปฏิบัติ
        ให้ปฏิบัติในขณะที่มีใจสบายๆพอสมควร อย่าปฏิบัติในขณะที่รู้สึกเป็นทุกข์ หรือจิตใจซัดส่าย ให้อยู่ในระดับขณิกสมาธิก็เพียงพอคือจิตแน่วแน่ ไม่วอกแวกมากเกินไป  ให้มีสติอยู่ในกิจหรือการปฏิบัติ,  เพราะต้อง การใช้จิตที่อยู่ในสภาวะขณะปกติไปเปรียบเทียบให้เห็นกับขณะจิตปรุงแต่ง จึงจะเห็นสภาวะหรือความรู้สึกที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนอย่างปัจจัตตัง  จึงจะคลายวิจิกิจฉาความสงสัย

        ให้ปฏิบัติในรูปแบบที่มีสติ อย่าปล่อยให้เลื่อนไหลลงภวังค์ คือไม่เลื่อนไหลไปสู่สมาธิหรือฌานในระดับลึก สมาธิก็แค่ขณิกสมาธิ  เพราะเราต้องการฝึกฝนปฏิบัติการใช้สติในการปฏิบัติตามความรู้ความเข้าใจในปฏิจจสมุปบาทหรือสติปัฏฐาน๔  มิใช่การปฏิบัติสมถสมาธิหรือฌานเพราะถ้าลึกกว่านี้แล้วสติจะไม่บริบูรณ์มีอาการเคลิบเคลิ้ม ลงภวังค์ หรือเกิดนิมิตต่างๆนาๆ   ถ้าหลับตาแล้วเลื่อนไหลลงภวังค์หรือหลับง่ายๆก็ให้ลืมตาขึ้น  หรือยืน  เดิน  ในอริยาบทสบายๆได้ โดยไม่ต้องกังวล,  ให้มีสติยาวนานต่อเนื่องอย่าง ไม่เลื่อนไหล

        ให้ปฏิบัติโดยมีสติกํากับความคิด  สําหรับนักปฏิบัติใหม่ๆอาจมองไม่เห็นความคิด หรือมีความรู้สึกว่า ไม่รู้จะวางสติไว้กับอะไรหรือ ณ.ตําแหน่งใด   ก็ให้ลองบริกรรมพุทธโธ ในใจสักระยะ  หรือคิดภาวนาพิจารณาในใจอะไรก็ได้ที่ไม่เป็นเหตุให้ขุ่นเคืองหรือวุ่นวายใจ เพื่อเป็นเครื่องกำหนด เครื่องระลึก โดยปรับกายใจให้ผ่อนคลาย  คำบริกรรมอาจสั้นหรือยาวก็ได้ ดังเช่น  พุทโธ  สั้นๆ  หรือดังเช่น
        " ที่นี่แหละฐานแห่งจิต "  หรือ  " มีสติ ไม่คิดปรุง "  หรือ  " สัมมาอรหัง "  เหล่านี้เป็นต้น  หรือภาวนาอะไรก็ได้ อย่างสั้นๆตามจริตก็ได้

         เพราะคำบริกรรมภาวนาเหล่านี้เอง  เป็นจิตสังขารหรือความคิดที่เป็นผลที่เกิดขึ้นอย่างหนึ่ง หรือการพูดในใจโดยไม่ออกเสียงมานั่นเอง  ที่เราต้องการจะฝึกให้มีสติระลึกรู้เท่าทัน ที่บางทีเรียกกันว่า"เห็น"   และควรฝึกหัดให้เห็นเป็นไปอย่างต่อเนื่อง(สัมมาสมาธิ)ไม่เลื่อนไหล    และปัญญาที่เกิดแต่การพิจารณาจนเกิดความเข้าใจในสภาวะธรรมจะเป็นผู้แก้ปัญหา อันรวมทั้งจำแนกแจกแจงว่า อันใดเป็นคิดที่ควรเกิดควรมี   อันใดเป็นคิดปรุงแต่งให้เกิดทุกข์ที่ควรอุเบกขา

        แล้วภาวนาพิจารณาในใจอย่างใจเบาๆนุ่มนวล พร้อมสังเกตุกําหนดชัดว่าอยู่ที่ใด อาจจะอยู่ที่ใดก็ได้  แค่พอให้สังเกตุเห็นฐานแห่งจิต คือหาโฟกัส(จุดรวม)ความคิดให้ชัดเจนของจิตเท่านั้น  อย่ากังวล เพียงแต่ให้สติระลึกรู้ว่ามีความรู้สึกชัดเจนที่สุดตรงไหน อาจอยู่ภายในกายหรือนอกกายก็ได้ ก็ให้ถือว่าที่นั่นแหละฐานแห่งจิตหรือตําแหน่งของจิตที่เราต้องมีสติคอยกํากับ คือ จิตหรือสติเห็นคำภาวนานั้นอย่างมีสติได้อย่างต่อเนื่อง,   เมื่อฝึกปฏิบัติบ่อยๆจนเกิดความชำนาญแล้ว   ก็เปลี่ยนจากจิตหรือสติที่เห็นคำบริกรรมนั้นเป็นคอยมีจิตหรือสติเห็นเวทนาหรือจิตคิด หรือจิตสังขารที่เกิดขึ้นแทนในภายหลัง  แล้วมีสติถืออุเบกขาไม่ปรุงแต่ง ไม่แทรกแซง หรือไม่เอนเอียงไปทั้งในด้านดีหรือร้าย เช่น เราดีหรือเขาชั่ว,นั่นดีหรือนี่ชั่ว,เราถูกหรือเขาผิด คืออยู่ในภาวะเหนือดีเหนือชั่ว  หรือเหนือบุญเหนือบาปทั้งปวงนั่นเอง ตามที่ได้กล่าวมาในบทก่อนๆแล้ว,  ฐานแห่งจิตนี้เป็นนามธรรม เป็นอนัตตาไม่มีตัวตนจริงๆเป็นเพียงอุบายวิธีในการปฏิบัติเพื่อจําลองเป้าหมาย  ช่วยในการก่อสติ  ให้สติเกาะระลึกรู้อยู่กับสิ่งที่ตั้งใจอันถูกต้องดีงาม  ในแต่ละท่านตําแหน่งอาจไม่เหมือนกัน  และบางทีบางครั้งก็รู้สึกคนละตําแหน่งกับที่เคยปฏิบัติมาเป็นเรื่องธรรมดาไม่ต้องใส่ใจ  เพราะในที่สุดจะเข้าใจถูกต้องเอง

         เมื่อสติกำกับจิต หรือเห็นจิต หรือจิตเห็นจิต ที่เกิดขึ้นแล้ว  ก็ให้วางเฉยเสีย อย่าคิดหรือคิดปรุงแต่งใดๆให้ได้สักระยะหนึ่ง ปฏิบัติใหม่ๆก็จะยากอยู่เป็นธรรมดา  (เพราะมักเกิดอาการที่หลวงปู่ดูลย์ อตุโล ได้กล่าวไว้ บอกว่าให้หยุดคิด กลับไปคิดว่าจะหยุดคิดอย่างไร  กลับกลายไปคอยคิดคำนึงปรุงแต่งในเรื่องการหยุดคิดนั่นเอง)  เมื่อหยุดคิดได้สักระยะหนึ่ง  สังเกตุความรู้สึกหรือเวทนาที่มีอยู่  (แต่ไม่ใช่จิตส่งในที่ติดเพลินไม่ปล่อยวาง)  จะพิจารณาสังเกตุพบความสงบ  สบาย  ไม่กระวนกระวาย  ไม่ร้อนรุ่ม  ไม่เผาลน  แล้วต้องปล่อยวาง     เมื่อปฏิบัติได้สักพักหนึ่งจิตจะเริ่มส่งออกนอกไปคิดนึกปรุงแต่งในบางเรื่องขึ้นมาเป็นธรรมดา หมายถึงต้องเกิดขึ้นอีกอย่างแน่นอนจึงอย่าไปหงุดหงิดกังวล    แต่เมื่อจิตส่งออกนอกไปปรุงแต่งจนอิ่มตัวหรือมีสติกลับคืนมาเห็นจิตปรุงแต่งเหล่านั้นแล้ว   สังเกตุความรู้สึก(เวทนา)ที่เกิดขึ้นเพื่อให้รู้ว่าเมื่อจิตส่งออกไปปรุงแต่งแล้วเกิดเวทนาอย่างไรขึ้นมา แล้วปล่อยวาง  ให้กลับมาอยู่ที่สติหรือฐานเดิม  คือเพียงพิจารณาสังเกตุรู้ในความรู้สึกที่เกิดขึ้น แล้วละเสีย  และอย่าปรุงต่อ

         จิตที่แว็บออกไปปรุงแต่งดังข้างต้นนั้น  มีสองลักษณะ คือ บางครั้งยังไม่ทันก่อทุกข์ขึ้น เป็นแค่การผุดการแว๊บออกไปปรุงแต่งแรกๆ แล้วมีสติรู้ทัน  จะได้ประโยชน์ คือ ฝึกสติให้เห็นและรู้ทันจิตที่ส่งออกไปภายนอกหรือผุดหรือแว๊บขึ้นมานั้น,   อีกลักษณะหนึ่งคือความคิดที่ผุดขึ้นมานั้นก่อให้เกิดความรู้สึกเป็นทุกข์เลย หรือขณะแรกไม่เป็นทุกข์แต่ขาดสติปรุงแต่งเลื่อนไหลต่อไปเรื่อยๆจนเกิดความรู้สึกเป็นทุกข์ขึ้นในที่สุด  เมื่อจิตปรุงจนอิ่มตัวแล้วหรือมีสติรู้เท่าทันขึ้นมา ก็ให้หยุดการปรุงแต่งเหล่านั้นเสีย   แล้วพิจารณาด้วยปัญญาก็จักได้ประโยชน์คือเปรียบเทียบเห็นความรู้สึก(เวทนา)ที่เป็นทุกขเวทนาที่เกิดขึ้นจากการปรุงแต่งด้วยตนเองได้อย่างชัดเจน   ด้วยเหตุนี้ในขณะฝึกสตินั้นจึงให้ทำจิตว่างๆที่หมายถึงหยุดคิด,หยุดปรุงแต่งชั่วขณะ  จุดประสงค์ก็เพื่อให้สังเกตุเห็นความรู้สึกหรือเวทนาที่เกิดขึ้นชัดเจน  คือเปรียบเทียบเวทนาหรือความรู้สึกที่เกิดขึ้นระหว่างจิตไม่ปรุงแต่งและจิตปรุงแต่งกันให้เห็นหรือเข้าใจอย่างชัดเจน,  แต่ระมัดระวังไว้ด้วย อย่าไปยึดในจิตว่างหรือหยุดคิดนั้น  เป็นขั้นตอนการใช้ตอนปฏิบัติเท่านั้น  ในการดำรงชีวิตโดยทั่วไปนั้น ความคิดนั้นยังต้องมีอยู่ แต่อยู่ในระดับขันธ์๕ คือไม่คิดปรุงแต่งเท่านั้น  หรือหยุดเฉพาะคิดนึกปรุงแต่งเท่านั้น    อย่าได้พยามยามไปทำจิตว่างหรือพยายามหยุดทุกๆความคิดในการดำเนินชีวิตประจำวัน  หยุดแค่การคิดปรุงแต่ง

ข้อสําคัญในการปฏิบัติในชีวิตประจำวัน
        ไม่ใช่การห้ามหรือหยุดเวทนาหรือจิตคิดอย่างดื้อๆ  มันทําหน้าที่ของมันอย่างถูกต้องตามสภาวะธรรม(ธรรมชาติ) เป็นขันธ์๕ในการดำรงขันธ์(ชีวิต)   ส่วนความคิดนึกปรุงแต่งหรือจิตฟุ้งซ่านออกไปปรุงแต่งนั้นต้องหยุด

เราจึงทําหน้าที่หลักๆ เพียง ๒ ประการคือ
        ๑.มีสติรู้ทันเวทนาหรือความคิด(จิต)ที่เกิดขึ้น ก็ให้มีสติรู้ว่ามี คือ เมื่อจิตสอดส่ายออกไปคิดปรุงแต่งเกิดความรู้สึก(เวทนา) หรือจิตสังขารใดๆเช่น จิตปรุงแต่ง จิตหดหู่ โมหะ โทสะ โลภะ ฯ. ก็รับรู้ตามความเป็นจริงอย่างมีความเข้าใจในเวทนาหรือจิต(อ่านในปฏิจจสมุปบาท หรือขันธ์๕) หรือเห็นความเกิดขึ้นบ้าง เห็นความเสื่อม ความดับไปบ้าง (ความสําคัญอยู่ที่รับรู้สิ่งที่กระทบนั้นตามความเป็นจริง แล้วรีบละไม่จดจ้องหรือพิรี้พิไรต่อมัน )  จิตที่สอดส่ายออกไปนี้มันต้องเกิดขึ้นเป็นธรรมดา และเมื่อเกิดการกระทบผัสสะย่อมเกิดผลขึ้นเป็นธรรมดา ตามที่ได้ปัญญาญาณจากปฏิจจสมุปบาทหรือขันธ์๕   ไม่ต้องพยายามทําอื่นใดทั้งสิ้น เช่น ไม่ติดเพลินหรือผลักไสใดๆ  ไม่พยายามทําให้ความรู้สึกรับรู้(เวทนา)หายหรือดับไป    และควรพิจาณาเมื่อสติกลับมาแล้ว คือรู้ตัว ให้สังเกตุความแตกต่างระหว่างความรู้สึกขณะที่มีสติ  กับ  ขณะที่จิตคิดปรุงแต่งเพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจที่เห็นได้ด้วยตนเอง(ปัจจัตตัง)   ข้อสำคัญแค่สังเกตุอยู่ในความแตกต่าง แล้วต้องไม่ปรุงแต่งต่อ

        มีความเข้าใจและรับรู้ตามความเป็นจริง เช่น อร่อยเป็นอร่อย สวยเป็นสวย ทุกข์เป็นทุกข์ สุขเป็นสุข เศร้าเป็นเศร้า มีความจําเป็นอย่างยิ่ง มิฉนั้นจะเกิดการวางอุเบกขาในข้อ๒ทุกๆเรื่อง อันเมื่อเป็นสังขารที่สั่งสมแล้วจะเกิดเป็นปัญหาขึ้น เพราะจะไปถืออุเบกขาเช่นวางเวทนาหรือความคิดหรือสิ่งอื่นที่มีคุณต่อการดำรงขันธ์(ดําเนินชีวิต)ไปโดยไม่รู้ตัว,   การรู้ตามความเป็นจริงเช่นเกิดทุกขเวทนาก็รู้และรับรู้ความรู้สึกที่เกิดนั้น  เป็นสุขเวทนาก็รู้ เป็นไม่สุขไม่ทุกข์ก็รู้,   เห็นจิตคิดชนิดโมหะ โทสะ โลภะ ก็มีสติรู้เท่าทัน  อันล้วนมีเจตจํานงให้มีสติรู้เท่าทันเวทนาหรือจิตอันแฝงกิเลสหรือตัณหาอยู่ในที  เป็นจุดประสงค์สำคัญ  แล้วปฏิบัติตามข้อ ๒.

        ๒.แล้วมีสติ ถืออุเบกขา(ในโพชฌงค์) เท่านั้น กล่าวคือเมื่อเกิดรู้สึกสุข,ทุกข์ หรือเห็นจิตสังขารดังที่กล่าวไว้ก็ตาม เพราะย่อมต้องเกิดขึ้นเป็นไปตามธรรมคือธรรมชาตินั้นๆในการรับรู้ของชีวิตจากการผัสสะต่างๆ  แต่เราต้องมีสติ แล้วเป็นกลาง ด้วยอาการตั้งใจไม่เอนเอียงเข้าไปปรุงแต่งด้วยถ้อยคิด หรือกริยาจิตใดๆในสิ่งนั้น (ไม่ว่าจะ ดีชั่ว บุญบาป ถูกผิด อันล้วนเป็นมายาจิตหลอกล่อให้ไปปรุงแต่งทั้งสิ้น)

        อุเบกขานี้จะเกิดขึ้นจากการฝึกฝนอบรม เป็นกลางโดยการวางทีเฉยต่อเวทนาหรือจิตสังขารที่เกิดขึ้นนั้นอย่างมีสติมีอุเบกขา   รู้สึกอย่างไรก็รู้เท่าทันตามความเป็นจริงอย่างนั้น  เช่น โกรธ โลภ หลง ฯ.  เพียงแต่ไม่เอนเอียง ไม่แทรกแซง ไม่คิดนึกปรุงแต่ง ด้วยถ้อยคิดหรือกริยาจิตใดๆ ไปทั้งในทางดีหรือร้าย,   อุเบกขามิใช่การวางจิตเฉยๆ หรือต้องรู้สึกเฉยๆตามที่บางคนเข้าใจ   และไม่สามารถเกิดขึ้นได้เอง,  จักเกิดขึ้นได้ต้องเกิดจากการเจตนาปฏิบัติ หรือสังขารขึ้นเท่านั้น,  ปฏิบัติใหม่ๆอาจรู้สึกยากแสนยาก  แต่เมื่อปฏิบัติไปอย่างสมํ่าเสมอก็จักราบรื่นขึ้น,  ถ้ากระทําด้วยความเพียรไม่เกียจคร้านในที่สุดก็จะเป็นดั่งสังขารที่สั่งสมในปฏิจจสมุปบาทเพียงแต่ว่ามิได้เกิดแต่อวิชชา แต่เกิดจากวิชชาของพระองค์, ซึ่งเมื่อเวทนาหรือจิตคิดมากระทบ อุเบกขา(อันมีญาณรู้เข้าใจว่าสิ่งใดทำให้เป็นทุกข์ จากการปฏิบัติในข้อ๑.)จะกลับกลายเป็นสังขารแล้วก็จักทํางานเป็นธรรมชาติเหมือนหนึ่งดังบุคคลิกลักษณะประจําตัวหรือทำโดยอัตโนมัตินั่นเอง  อันทําให้เวทนาหรือจิตคิดที่ยังให้เกิดทุกข์เมื่อมากระทบผัสสะเหล่านั้น ขาดเหตุเกิดอันยังให้ต่อเนื่อง หรือขาดเชื้อไฟที่จะทำให้ลุกไหม้ต่อไปได้ เพราะขาดเวทนาหรือคิดปรุงแต่งต่อสืบเนื่อง จึงยังให้ไม่เกิดเวทนาต่อเนื่องขึ้นมาอีก  เมื่อขาดปัจจัยคือเวทนาอันเป็นเหตุเกิดของตัณหา   ตัณหาก็ต้องมอดดับลงไป อันเป็นไปตามหลักปรมัตถธรรมปฏิจจสมุปบาทนั่นเอง,  เวทนาหรือจิตคิดเหล่านั้นจะยังคงเกิดแค่ขันธ์ ๕ อันเป็นเพียงทุกขเวทนาอันต้องเกิดขึ้นเป็นธรรมชาติธรรมดาๆขณะหนึ่งเท่านั้น ไม่เป็นทุกข์จริงๆ(ความทุกข์จริงคือทุกข์อุปาทาน-อันกระวนกระวาย ร้อนรุ่ม และเผาลน อย่างยาวนานและต่อเนื่อง และยังเก็บไปหมักหมมนอนเนื่องเป็นอาสวะกิเลสอันก่อทุกข์โทษภัยในภายหน้า)

        ถ้าปฏิบัติแล้วมีความรู้สึก ตึง แน่น เครียด หรืออึดอัด ส่วนหนึ่งส่วนใดมากเกินไป แสดงว่าอาจเกิดจากเหตุปัจจัย ๒ อย่างนี้
        ๑.อาจกําหนดฐานของจิตผิด เช่นไปกําหนดจดจ่อที่กายส่วนหนึ่งส่วนใดโดยไม่รู้ตัว หรืออาจเป็นไปในลักษณะจิตส่งในโดยไม่รู้ตัว  อันมักเป็นผลมาจากการปฏิบัติหรือความเคยชินเก่าๆที่สั่งสม(สังขาร)  เช่น  อาจรู้สึกหายใจไม่สะดวก หรือตึง แน่น อึดอัดตามจมูก หน้าอก ขมับหรือสมองมากเกินไป เนื่องจากเลื่อนไหลไปกำหนดตามความเคยชินในฐานของสมาธิเดิมๆ  ให้ลองปรับฐานจิตแห่งความคิดใหม่

        ๒.หรืออาจเกิดจากใช้สติระลึกรู้จดจ่อหรือจดจ้องแก่กล้าเกินไป ให้ผ่อนคลายสติระลึกรู้นั้นลง ปรับให้พอดีๆ ระลึกรู้อย่างเบาๆ  อันเป็นเรื่องของจริตแต่ละบุคคลที่ต้องหาให้พบ  การจดจ่อหรือจดจ้องระลึกรู้(สติ)อย่างแรงกล้ามากเกินไปก็ใช้พลังงานมากและก่อให้เครียดและล้า  อาการนี้มักเกิดกับการปฏิบัติในรูปแบบเช่นนั่งในรูปแบบสมาธิและหลับตาอันทําให้เกิดการจดจ้องหรือตั้งใจเกินพอดี ไปจดจ่ออยู่ที่สิ่งๆเดียวอย่างมุ่งมั่นหรือแน่วแน่จนเกินพอดีไป  อาจใช้วิธีแก้ไขโดยลืมตาขึ้น  หรือเปลี่ยนอิริยาบถเป็นการเดิน หรือการนั่งอย่างสบายๆก็ได้

        ปฏิบัติดังนี้ให้ได้ต่อเนื่องยาวขึ้น นานขึ้น และเป็นประจําสมํ่าเสมอขึ้น สามารถกระทําได้ในทุกอิริยาบถ ยิ่งปฏิบัติในขณะดําเนินชีวิตประจําวันได้ยิ่งเป็นคุณอันประเสริฐ  อันเมื่อปฏิบัติถูกต้องแล้วผู้ปฏิบัติควรรู้ได้ด้วยตนเองว่าทุกข์นั้นลดน้อยลงไปไหม?  มีความเข้าใจเกิดขึ้นไหม?  เห็นการดับไปของทุกข์ไหมเมื่อขาดเหตุปัจจัยหรือเหตุเกิดต่างๆ  อันเกิดขึ้นจากการถืออุเบกขา?   ถ้าปฏิบัติแล้วทุกข์ไม่ลดลงให้หยุดการปฏิบัติ แล้วพิจารณาการปฏิบัติใหม่ให้ดีเช่นพิจารณาในธรรมให้เกิดความรู้ความเข้าใจมากขึ้น  อย่าพยายามฝืนปฏิบัติต่อไป  ค้นหาจุดบกพร่องหรือข้อสงสัยเสียก่อน.

        การปฏิบัติอย่างจริงจัง อย่างไม่เคร่งเครียด อย่างต่อเนื่องเป็นสิ่งจําเป็นอย่างยิ่งยวด เพราะเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดดังสังขารในวงจรปฏิจสมุปบาท หรือเป็นมหาสตินั่นเอง เพียงแต่สังขารนี้มิได้เกิดแต่อวิชชา  แต่เกิดจากวิชชาโดยตรง อันเมื่อเป็นสังขารแล้วการปฏิบัติจะเป็นไปเองตามความเคยชินที่ได้สั่งสมอบรมไว้อันเป็นสภาวะธรรมของชีวิตอันยิ่งใหญ่อย่างหนึ่ง โดยมีกําลังของสัมมาญาณและสติเป็นกําลังแห่งจิต    เพราะการดับทุกข์นั้นพระพุทธองค์ทรงตรัสอยู่เนืองๆว่า ธรรมของพระองค์เป็นเรื่องสวนทวนกระแส,  ซึ่งก็เป็นจริงตามพระพุทธดํารัสนั้น เพราะเป็นการทวนสวนกระแสของธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ที่ดึงดูดมวลหมู่สัตว์เข้าสู่กองทุกข์โดยธรรมชาติดุจดั่งนํ้าที่ย่อมไหลลงสู่ที่ตํ่ากว่า  แต่ด้วยพระปรีชาญาณจึงได้อาศัยธรรมชาติอันยิ่งใหญ่นั้นเอง มาปฏิบัติสวนทวนกระแสธรรมชาติฝ่ายก่อให้เกิดทุกข์จนสําเร็จได้  อุปมาดั่งเรือใบที่แล่นทวนสวนกระแสลมหรือกระแสนํ้าอันเชี่ยวกรากของธรรมชาติอันยิ่งใหญ่นั้นได้  ก็ด้วยความเข้าใจในธรรมชาติของลมและใช้ธรรมชาติของลมนั้นเองเป็นเหตุปัจจัยเช่นกัน  โดยอาศัยใบเรือที่ถูกต้องอันอุปมาได้ดั่งสังขารธรรมหรือธรรมะของพระพุทธองค์ ที่ทําให้สามารถใช้ธรรมชาติของลมนั้นเอง ทําให้เรือแล่นสวนทวนกระแสธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ของลมหรือแม้กระแสนํ้าได้

นอกจากปฏิบัติดังกล่าวแล้ว ควรปฏิบัติดังต่อไปนี้ด้วยเมื่อมีโอกาส
        สติหมั่นพิจารณากาย(กายานุปัสสนา) เช่น กายสักแต่ว่าเกิดแต่ธาตุ ๔ เป็นเหตุปัจจัย  เพื่อให้เกิดนิพพิทาลดละอุปาทานในความเป็นตัวตนของตน  และเพื่อความเข้าใจในความเป็นเหตุปัจจัยอันปรุงแต่ง  อันล้วน เกิดขึ้น  ตั้งอยู่ขณะหนึ่ง  แล้วดับไป

        โยนิโสมนสิการ ให้เห็นสภาวะธรรมหรือปรมัตถสัจจะของการกระทบผัสสะ ดังเช่น การที่กายกระทบผัสสะกับสิ่งใด  แล้วย้อนกลับมาโยนิโสมนสิการ จิตที่กระทบกับความคิด  โดยเฉพาะความคิดนึกปรุงแต่ง

        สติหมั่นพิจารณาในธรรมคือธรรมะวิจยะหรือธรรมานุปัสสนา อันเป็นสิ่งจําเป็นอย่างยิ่งยวดในอันยังให้เกิดมรรคองค์ที่ ๙ สัมมาญาณความรู้ความเข้าใจอันเป็นกําลังแห่งจิต และเพื่อใช้แก้ไขปัญหาข้อสงสัยต่างๆที่จักเกิดขึ้นในการปฏิบัติอันต้องเกิดขึ้นเป็นธรรมดา  ธรรมที่ใช้ในการพิจารณาอาจเลือกตามจริตของผู้ปฏิบัติ,  สําหรับผู้เขียนเองแนะนําปฏิจจสมุปบาทที่ลึกซึ้ง จึงก่อให้เกิดสัมมาญาณได้อย่างดีจึงให้คุณอนันต์สมดั่งพระพุทธพจน์ที่ตรัสว่า ผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาท ผู้นั้นเห็นธรรม

จาก เทสรังสีอนุสรณาลัย  เรื่อง "สิ้นโลก เหลือธรรม (นัยที่สอง)" 
โดย หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี (หน้า ๙๓)  ที่ได้กล่าวถึงเรื่อง สติ ไว้ดังนี้
         "จิต คือ ผู้คิดผู้นึกในอารมณ์ต่างๆ ที่รวมเรียกว่ากิเลสอันเป็นเหตุทำให้จิตเศร้าหมองนั่นเอง  จึงต้องฝึกหัดให้มีสติระวังควบคุมจิต  ให้รู้เท่าทันจิต  ซึ่งคำนี้เป็นโวหารของพระกรรมฐานโดยเฉพาะ   คำว่า " รู้เท่า " คือ สติรู้จิตอยู่ ไม่ขาดไม่เกินยิ่งหย่อนกว่ากัน  สติกับจิตเท่าๆกันนั่นเอง  คำว่า " รู้ทัน " คือ สติทันจิตว่าคิดอะไร  พอจิตคิดนึก  สติก็รู้สึกทันที เรียกว่า " รู้ทัน "   แต่ถ้าจิตคิดแล้วจึงรู้นี้เรียกว่า " รู้ตาม " อย่างนี้เรียกว่าไม่ทันจิต  ถ้าทันจิตแล้ว  พอจิตคิดนึก  สติจะรู้ทันที  ไม่ก่อนไม่หลัง  ความคิดของจิตก็จะสงบทันที............"

จาก อตุโล ไม่มีใดเทียม โดย หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
         ในทางปฏิบัติที่ว่า ปฏิบัติจิต ปฏิบัติใจ โดยให้ใจอยู่กับใจนี้ ก็คือให้มีสติกํากับใจให้เป็นสติถาวร ไม่ใช่เป็นสติคล้ายๆ หลอดไฟที่จวนจะขาด  เดี๋ยวก็สว่างวาบ เดี๋ยวก็ดับ เดี๋ยวก็สว่าง  แต่ให้มันสว่างติดต่อกันไปตลอดเวลา   เมื่อสติมันติดต่อกันไปอย่างนี้แล้ว   ใจมันก็มีสติควบคุมอยู่ตลอดเวลา  เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "อยู่กับตัวรู้ตลอดเวลา"  ตัวรู้ก็คือ "สติ" นั่นเอง หรือจะเรียกว่า "พุทโธ" ก็ได้   พุทโธที่ว่า รู้ ตื่น เบิกบาน ก็คือตัวสตินั่นแหละ

จาก การฝึกหัดจิตให้มีสติทุกเมื่อ โดย หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
         ส่วนการสำรวมระวังใจ  ถ้าอยู่เฉยๆ ใจไม่มีเครื่องอยู่  ให้เอาคำบริกรรมอันใดอันหนึ่งมาเป็นเครื่องอยู่มาเป็นหลักผูกใจ  เช่น  พุทโธ  อานาปานสติ  ตามลมหายใจเข้าออก  ยุบหนอพองหนอ  หรือสัมมาอรหังก็ได้    เอาอันนั้นมาเป็นเครื่องอยู่เสียก่อน  นึกคิดอยู่เสมอๆจนเป็นอารมณ์  มีสติควบคุมจิตอยู่ตรงนั้นแหละ  จิตอยู่ที่ใดให้เอาสติไปตั้งตรงไว้ในที่นั่น  จึงจะเรียกว่าควบคุมจิต  รักษาจิต  ที่จะห้ามไม่ให้คิดไม่ให้นึกนั้น ห้ามไม่ได้เด็ดขาด  ธรรมดาของจิตมันต้องมีคิดมีนึก แต่หากมีสติควบคุมจิตอยู่เสมอ  คิดนึกอะไรก็รู้ตัวอยู่ทุกขณะ  เรียกว่า  บริกรรมภาวนา

         การบริกรรมภาวนานี้มิใช่ของเลว  คนบางคนเข้าใจว่าเป็นของเลว เป็นเบื้องต้น  ที่จริงไม่ใช่เบื้องต้น  ธรรมไม่มีเบื้องตน ท่ามกลาง ที่สุดหรอก  ธรรมะอันเดียวกันนั่นแหละ   ถ้าหากสติอ่อนเมื่อไรก็เป็นเบื้องต้นเมื่อนั้น   สติแก่กล้าเมื่อไรก็เป็นท่ามกลาง และที่สุดเมื่อนั้น  คือหมายความว่าสติคุมจิตอยู่ทุกขณะ  จนกระทั่งเป็นมหาสติปัฏฐาน  จะยืน  เดิน  นั่ง  นอน ในอิริยาบถใดๆทั้งหมด มีสติรอบตัวอยู่เสมอโดยที่ไม่ได้ตั้งใจให้มีสติ  แต่มันเป็นของมันเอง  สติควบคุมจิตไปในตัว   เมื่อมีสติเช่นนั้นมันก็ไม่เกี่ยวข้องพัวพันกันกับสิ่งต่างๆ    เมื่อตาเห็นรูป  หูได้ยินเสียง  ลิ้นลิ้มรสต่างๆ  กายได้สัมผัส  มันก็เป็นสักแต่ว่า  สัมผัสแล้วก็หายไปๆ  ไม่ได้เอามาเป็นอารมณ์  ไม่เอามาคำนึงถึงใจ  อันนั้นเป็น มหาสติ  แท้ทีเดียว

ข้อมูลจาก nkgen.com