พระครูอรุณธรรมรังษี (หลวงปู่ลุน ณ อุบล)
มหาฐาน ๗ฐานที่ ๑ ให้เพ่งดูหทัยวัตถุ
ฐานที่ ๒ ให้ดูจุดประสงค์ จุดประสงค์คือให้วางความคิด
ฐานที่ ๓ ไม่ให้ติดอยู่ในความรู้ อันผ่านมาทางทวารทั้ง ๖
ฐานที่ ๔ ให้เอาสติเป็นนายประตู ดูทวารทั้ง ๖
ฐานที่ ๕ ให้อยู่กับความไม่ถือมั่น
ฐานที่ ๖ ให้เลือกเฟ้นแห่งไตรลักษณ์สาม
ฐานที่ ๗ ให้ถามถึงผู้ไม่ตาย ๔ ( เครื่องสอบผลจิต )
คำอธิบายในฐานที่ ๑ ที่ให้เพ่งดูหทัยวัตถุ
เพราะหทัยวัตถุเป็นที่ประชุมแห่งสังขาร สังขารทั้งหมดมารวมอยู่ที่หทัยวัตถุทั้งสิ้น ก็สังขารทั้งสิ้นคืออะไร คือ
กายสังขาร ๑ วจีสังขาร ๑ จิตสังขาร ๑ ปุญญาภิสังขาร ๑ อปุญญาภิสังขาร ๑ อเนญชาภิสังขาร ๑ รวมทั้งหมดเป็น ๖ ย่อ เข้าให้สั้น กายสังขาร เอาไว้คงเดิม สังขารนอกนั้นสงเคราะห์เข้าใน จิตสังขาร รวมให้สั้นคงมีแต่กายสังขารและจิตสังขาร สองอย่างเท่านี้ หทัยวัตถุ เป็น กายสังขาร
เมื่อกำหนดรู้เพ่งดูหทัยวัตถุสงเคราะห์เข้าใน กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน เมื่อสังขารภายนอกเข้ามา กระทบกาย ทั้งภายนอกภายใน เรียกว่า ผัสสะ เข้ากระทบ จะกระทบทางไหนก็ตาม เวทนา คือความสุข ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์ ย่อมบอกให้เรารู้ที่หทัยวัตถุ ส่วน ความนึกคิด ที่เรียกว่า จิตสังขาร ก็เกิดขึ้นที่หทัยวัตถุ เมื่อดูหทัยวัตถุหนักเข้าจะเห็น ธรรมชาติของกาย และธรรมชาติของใจ จะมีการเปลี่ยนแปลงยักย้าย คือ เกิดขึ้น แล้ว ตั้งอยู่ ดับไป เมื่อเห็นความเกิดความดับแห่งสังขาร ก็สงเคราะห์ลงใน ธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ผู้ที่เพ่งดูหทัยวัตถุ จึงนับว่าได้ เจริญมหาสติปัฏฐานทั้ง ๔ ให้บริบูรณ์ เมื่อ ผู้บำเพ็ญเพ่งดูในเวลาใดเวลานั้นเป็นวิชา เวลาไหนไม่ได้เพ่ง เวลานั้นเป็น อวิชา
เจตสิกธรรม ๕๒ เปรียบเหมือนธาตุต่าง ๆ
เมื่อมีอวิชา ความไม่รู้เท่าสังขาร สังขารจึงมาปรุงแต่ง เมื่อจะกล่าวถึงสังขารที่มาปรุงแต่ง ปุญญาภิสังขาร อย่าง ๑ อปุญญาภิสังขาร อย่าง ๑ อเนชาภิสังขาร อย่าง ๑
ปุญญาภิสังขาร หมายเอา โสภณเจตสิก ๒๕
อปุญญาภิสังขาร หมายเอา อกุศลเจตสิก ๑๔
อเนชาภิสังขาร หมายเอา อัญญสมานาเจตสิก ๑๓
รวมกันเข้าเป็น ๕๒ เจตสิก ๕๒ นี้ เปรียบเหมือนธาตุต่าง ๆ เช่น ธาตุเผ็ด ธาตุเค็ม ธาตุเปรี้ยว ธาตุหวาน ธาตุเบื่อ ธาตุเมา ธาตุเหล่านี้มีทั้งคุณมีทั้งโทษ ถ้าใครไม่รู้ไปดื่มเอาธาตุเบื่อธาตุเมา ก็เบื่อ ก็เมา ตามสัญชาติของธาตุนั้น ๆ
อปุญญาภิสังขาร คือ บาป เปรียบเหมือนธาตุเบื่อธาตุเมา ปุญญาภิสังขาร เปรียบเหมือนธาตุเปรี้ยว ธาตุหวาน มีประโยชน์แก่ผู้ดื่ม ส่วน อเนญชาภิสังขาร เปรียบกับธาตุที่มิ ใช่เปรี้ยวใช่หวาน ใช่เบื่อใช่เมา สังขารที่กล่าวมาทั้งนี้ ประชุมลงในจิตสังขาร คือเกิดขึ้นพร้อมกัน เวลาดับก็พร้อมกัน มีอารมณ์อันเดียวกัน มีวัตถุเดียวกัน
อปุญญาภิสังขารเป็นของที่ควรละ ปุญญาภิสังขารเป็นของที่ควรบำเพ็ญ อเนญชาภิสังขารเป็นสังขารกลางเป็นไปในบุญก็ได้ในบาปก็ได้ อปุญญาภิสังขาร มีในกามาวจรจิตอย่างเดียว ผู้ที่จะบำเพ็ญกรรมฐานเข้าถึงรูปาวจรภูมิ ควรให้รู้จักกามาวจรจิต เพราะผู้เข้าถึงรูปาวจรจิต กามาวจรจิตต้องดับไปก่อนจึงเข้าถึงรูปาวจรจิต
กามาวจรจิตกับรูปาวจรจิต ถ้าผู้บำเพ็ญเพียร เพิก กามาวจรจิตไม่ได้แล้ว รูปปาวจรจิตก็เกิดไม่ได้ การที่จะเพิกกามาวจรจิตก็ต้องให้รู้จักกามาวจรจิตก่อน กามาวจรจิตเกิดขึ้นที่ไหน เกิดขึ้นใน ทวารทั้ง ๖ แต่ปัญจทวาร คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย รับอารมณ์ได้แต่ปัจจุบันอารมณ์เท่านั้น ไม่สามารถรับเอาอดีตอนาคตได้ แต่มโนทวารรับอารมณ์ในอดีต ปัจจุบัน อนาคตได้สิ้น
ภวังคจิต – วิถีจิต
อีกประการหนึ่งให้ผู้บำเพ็ญรู้จักภวังคจิต และ วิถีจิต วิถีจิตหมายเอาจิตที่รับรู้ทางทวาร ๖ เมื่อจิตหยุดรับรู้ทางทวาร ๖ เป็นภวังคจิต ดังเวลานอนหลับเป็นภวังคจิตแท้
อนึ่ง ให้รู้จักทวารสมมุติและทวารวิมุติ ทวารสมมุติหมายเอาทวารทั้ง ๖ ทวารวิมุติหมายเอาเวลานอนหลับ ฝันเห็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ อาการที่นอนหลับนั่นแหละเป็นทวารวิมุติจิต ชื่อว่าทวารวิมุติเกิดพ้นทวาร ๖ นั้นให้สำเร็จกิจเป็น จุติ ปฏิสนธิ ภวังค์ ถือเอาอารมณ์ทั้ง ๖ อันเกิดแต่ทวารสมมุติได้กามาวจรชวนะเกิดในมรณาสันนวิถี แต่ชาติก่อนนั้นถือเอาสิ่งไรเป็นอารมณ์ จิตที่เป็นปฏิสนธิ ภวังค์ในชาตินี้ก็ถือเอาสิ่งนั้นเป็นอารมณ์ อารมณ์ที่เป็นมรณาสันนชวนะในชาติก่อนนั้น เป็นปัจจุบันก็ดี เป็นบัญญัติก็ดี พระพุทธเจ้าตรัสเรียกว่า กมฺม กมฺมนิมิต คตินิมิต
จิตที่รับอิฏฐารมณ์ และอนิฏฐารมณ์ในทวารทั้ง ๕ เรียกว่า ทวิปัญจวิญญาณ ๑๐ นั้น มีอารมณ์ ๕ มีรูปเป็นต้น และละสิ่ง ๆ เป็นอารมณ์
ฝ่ายว่ามโนธาตุ ๓ นั้น ยึดหน่วงเอาอารัมมณปัจจัย ๕ เมื่อเกิดในทวารวิถีทั้ง ๕ เป็นอารัมมณปัจจัยทุก ๆ ทวารวิถี
กามาวจรวิบากอันเหลือ คือ สันตีรณ ๓ มหาวิบากหสิตุปบาท ๑ ทวิปัญจวิญญาณ ๑๐ มโนธาตุ ๓ รวมเป็นจิต ๒๕ ย่อมยึดหน่วงได้แต่อารมณ์ที่เป็นกามาวจร จะยึดหน่วงอารมณ์ที่เป็นรูปาวจร อรูปาวจร และโลกอุดรไม่ได้
อกุศลจิต ๑๒ ญาณวิปปยุตกุศล ๔ ญาณวิปปยุตกิริยา ๔ รวม ๒๐ จิตนี้ บางคราวมีอารมณ์เป็นกามาวจร บางคราวเป็นรูปาวจร และอรูปาวจร แต่ไม่อาจถือเอาโลกอุดรเป็นอารมณ์ได้
กามาวจรกุศลญาณสัมปยุต ๔ ปัญจมฌานกุศล ๑ รวม ๕ จิตนี้ บางคราวเป็น รูปาวจร อรูปาวจร โลกอุดร แต่ไม่อาจถือเอาอรหัตตมรรคจิต อรหัตตผลจิตเป็นอารมณ์ได้
กามาวจรกิริยาญาณสัมปยุต ๔ ปัญจมญานกิริยา ๑ โวฏฐัพพนะจิต ๑ รวมเป็น ๖ จิตนี้ ถือเอาอารมณ์ได้ทุกสิ่งไม่มีเว้น
วิญญานัญจายตนะ ๓ เนวสัญญานาสัญญายตนะ ๓ รวมเป็น ๖ จิตนี้ ถือเอา มหัคคตาเป็นอารมณ์
รูปาวจรจิต ๑๕ ปฐมรูปจิต ๓ ตติยรูปจิต ๓ รวมเป็น ๒๑ จิต จิตนี้ถือเอาบัญญัติเป็นอารมณ์
โลกุตตรจิต ๘ ถือเอาพระนิพพานเป็นอารมณ์
อารมณ์ของจิต ๘๙ ดวง
อารมณ์ของจิต ๘๙ ดวงแบ่งออกเป็น ๗ หมวดคือ
จิต ๒๕ มีกามาวจรเป็นอารมณ์
จิต ๖ มีมหัคคตาเป็นอารมณ์
จิต ๒๑ มีบัญญัติเป็นอารมณ์
จิต ๘ มีนิพพานเป็นอารมณ์
จิต ๒๐ เว้นจากมรรคผล
จิต ๕ เอาสิ่งทั้งปวงได้ เว้นอรหัตตมรรค อรหัตตผล
จิต ๖ เอาสิ่งทั้งปวงเป็นอารมณ์ได้ ไม่มีเว้น
อารมณ์ของจิตที่นำมาแสดงทั้งนี้ ย่อมประชุมลงในหทัยวัตถุ ตัว มโนวิญญาณ เป็นผู้รู้ในขณะที่ เพ่งหทัยวัตถุ อยู่นั้น เรียกว่าถือเอา บัญญัติ เป็นอารมณ์เป็น รูปาวจรจิต แต่รูปาวจรจิตจะเกิดขึ้นได้ ต้องอาศัย จิตหยุดคิด ในอารมณ์ภายนอกก่อน คิดในอดีต อนาคต ทั้งในปัจจุบันก็ดีเป็นกามาวจรจิต
ส่วนในรูปาวจรจิตไม่มีความคิด มีแต่ความเพ่งอยู่ในจุดอันเดียว ฌาน แปลว่าความเพ่งเผากิเลส คือ ตัวกามตัณหา เมื่อตัณหาอยากในสิ่งไร ก็คิดไปในสิ่งนั้น เมื่อเป็นดังนี้ผู้บำเพ็ญจึงควรรู้จุดประสงค์ในการกระทำ จุดประสงค์คือให้วางความคิด วางความคิดได้หรือไม่ได้ ถ้า วางไม่ได้ ก็แปลว่า ไม่สำเร็จ ประโยชน์ในการกระทำ คือ ไม่เห็นผลดังคนหาทรัพย์ภายนอก ไม่รู้จักทางหาทรัพย์ จึงไม่รวยทรัพย์กับเขาสักที
ผู้ที่หาทรัพย์ภายในก็เช่นเดียวกัน ถ้าไม่ฉลาดก็ไม่ได้ทรัพย์ภายในเช่นกัน เหตุนั้นจึงได้มีฐานที่ ๒ เป็นเครื่องพิสูจน์
จบฐานที่ ๑