สิ่งที่จิตรับรู้ เรียกว่า อารมณ์กรรมฐาน
การเจริญสติไม่ใช่สิ่งที่ทำได้ยากเลย ทุกขณะที่เรารู้ตัวว่ายืนอยู่ เดินอยู่ นั่งอยู่ นอนอยู่ เคลื่อนไหวร่างกายอยู่ รู้ตัวว่าเห็น ได้ยิน รู้กลิ่น ลิ้มรส รู้สัมผัส นึกคิด ก็จัดว่าเจริญสติแล้ว
จิตของเรา เหมือนแก้วน้ำมีฝุ่นธุลีขุ่นอยู่ ถ้าตั้งแก้วน้ำไว้นิ่งๆ น้ำจะใสเอง ในกรณีเดียวกัน ถ้าเราเฝ้า
ดูอาการปรากฏทางกาย กับจิตด้วยสติที่วางใจเป็นกลางไม่ปรุงแต่ง เมื่อนั้น จิตก็จะเกิดสมาธิตั้งมั่นเอง แม้ว่าเราจะกำหนดจิตอยู่ที่ปัจจุบัน แต่จิตเราไม่อยู่นิ่ง มักซัดส่ายเคลื่อนไปเหมือนการฉายภาพสไลด์ บางภาพเป็นเหตุการณ์ในอดีต บางภาพเป็นความคิดในอนาคต
ดังนั้นจึงต้องมีสิ่งที่จิตรับรู้ที่เรียกว่า อารมณ์กรรมฐาน จำแนกได้ดังนี้
๑. ปัจจุบัน คือ
สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในปัจจุบันขณะ อดีตนั้นไม่มีจริงเหมือนความฝัน อนาคตก็เป็นจินตนาการที่ยังไม่เกิดขึ้นจริงๆ ความจริงของชีวิตจึงมีปรากฏอยู่ในปัจจุบันขณะเท่านั้น เปรียบดั่งคนที่แหงนหน้ามองท้องฟ้าเมื่อสายฟ้าแลบออกอยู่ จะเห็นประจักษ์ความแปรปรวนนั้นได้
ดังนั้น พระพุทธเจ้าจึงตรัสสอน
ให้ตามรู้สิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ในปัจจุบันว่า อดีตดับไปแล้ว อนาคตยังมาไม่ถึง จึงไม่ควรคำนึงถึงอดีต ไม่มุ่งหวังอนาคต พึงเจริญวิปัสสนาญาณที่รู้แจ้งสภาวธรรมที่เกิดขึ้นอยู่ในปัจจุบันขณะนั้นๆ อันไม่ถูกตัณหาทิฏฐิฉุดรั้ง และไม่วิบัติ [เพราะตัณหาทิฏฐิ]
ดูกรพาหิยะ เพราะเหตุนั้น เธอพึงศึกษาอย่างนี้ว่า เมื่อเห็นอยู่จะสักแต่เห็นเมื่อได้ยินอยู่จะสักแต่ได้ยิน เมื่อรู้อารมณ์ทางจมูก ลิ้น กาย จะสักแต่รู้อารมณ์ทางจมูก ลิ้น กาย เมื่อรู้อารมณ์ทางใจ จะสักแต่รู้อารมณ์ทางใจ
๒. อารมณ์ภายใน คือ
อาการปรากฏทางกายกับจิตภายในร่างกายที่ ยาววาหนาคืบกว้างศอกนี้ สิ่งที่มีชีวิตที่เรียกว่าคนสัตว์นั้นมีส่วนประกอบสำคัญ ๒ ส่วน คือ
ก) อาการปรากฏทาง
กาย (รูป) คือ ธาตุทั้ง ๔ อันได้แก่ธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม ประกอบรวมกันเข้าเป็นร่างกาย
ข) อาการปรากฏทาง
จิต (นาม) แบ่งออกเป็น ๒ อย่าง คือ
– จิต คือ ธาตุรู้ที่รับรู้อารมณ์ ๖ อันได้แก่ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส และธรรมารมณ์ (มโนสัมผัส) นั่นคือ การเห็น ได้ยิน รู้กลิ่น ลิ้มรส รู้สัมผัส และนึกคิด จิตเหมือนคนอยู่ในบ้านที่ดูสิ่งนอกบ้านโดยผ่านประตูที่เรียกว่า ทวาร ๖ ช่อง คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ (มโนทวาร)
– เจตสิก คือ สภาวะที่เกิดร่วมกับจิตอันได้แก่
ความรู้สึกรัก ชัง ดีใจ เสียใจ ศรัทธาเลื่อมใส เป็นต้น เจตสิกต่างๆ เหมือนสี ทำหน้าที่แสดงภาพให้ปรากฏ จิตเหมือนน้ำ ทำหน้าที่ซึมซับให้สีติดอยู่กับแผ่นผ้า อารมณ์ที่จิตกับเจตสิกรับรู้เหมือนแผ่นผ้า พระพุทธองค์ทรงแนะนำการเจริญสติภายในกายของตนเท่านั้น
ดังมี พระพุทธวจนะว่า
ดูกรภิกษุ ภิกษุในศาสนานี้ย่อมเล่าเรียนธรรม…ไม่ทอดทิ้งที่เงียบสงัด เพียรเจริญความสงบแห่งจิตภายในตน ดูกรภิกษุ ภิกษุชื่อว่าผู้ประพฤติธรรมอย่างนี้ พวกเธอจงหยั่งรู้กายนี้ จงกำหนดรู้อยู่เสมอ เมื่อรู้เห็นสภาวะในกายแล้ว จักกระทำที่สุดแห่งทุกข์ได้
๓. สภาวธรรม (ปรมัตถ์) คือ สิ่งที่มีอยู่จริงโดยสภาวะ โดยปกติคนทั่วไปมักคิดว่าสมมุติบัญญัติคือมือ เท้า เป็นต้น มีจริง แต่เมื่อพิจารณาดูจะพบว่าสิ่งเหล่านี้ไม่มีจริงเลย มีเพียงหนัง เนื้อ เอ็น กระดูก ฯลฯ ผูกรวมกันเป็นอวัยวะน้อยใหญ่ที่
มีธาตุทั้ง ๔ รวมอยู่เป็นกลุ่ม ทำให้สำคัญผิดว่ามีจริง เปรียบเสมือนเงานกที่บินไป ในน้ำ มีเพียงเงาปรากฏขึ้นเท่านั้น ไม่มีตัวนกอยู่จริงๆ
ธาตุทั้ง ๔ นั้นรวมอยู่เป็นกลุ่มในทุกสรรพสิ่งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิต คือ
- ธาตุดิน มีลักษณะแข็ง-อ่อน
- ธาตุน้ำ มีลักษณะไหล-เกาะกุม
- ธาตุไฟ มีลักษณะเย็น-ร้อน
- ธาตุลม มีลักษณะหย่อน-ตึง
ธาตุดินมีคุณสมบัติทั้งอ่อนทั้งแข็งอยู่ในตัวมัน ธาตุอื่นก็เช่นเดียวกัน กล่าวคือ วัตถุที่แข็งเช่นไม้ ย่อมจะมีความแข็งมากกว่าความอ่อนส่วนวัตถุที่อ่อนเหมือนน้ำ มีความอ่อนมากกว่าความแข็ง ในโต๊ะตัวหนึ่งไม่ใช่มีเพียงธาตุดินอย่างเดียว แต่มีธาตุทั้ง ๔ ประกอบอยู่ร่วมกัน คือ ลักษณะแข็งเป็นธาตุดิน ลักษณะเกาะกุมเป็นรูปโต๊ะ เป็นธาตุน้ำ ลักษณะเย็น เป็นธาตุไฟ ลักษณะตึง เป็นธาตุลม
สรุปความว่า สิ่งที่นักปฏิบัติพึงสังเกตรู้ คือ
อาการปรากฏทางกายกับจิตในปัจจุบัน ทั้งนี้เพื่อคลายความยึดมั่นในตัวตน โดยทั่วไปความทุกข์ มักเกิดจากความยึดมั่น หาใช่เกิดจากอารมณ์ภายนอกที่มากระทบจิตไม่ตัวอย่างเช่น ถ้าไฟไหม้บ้านของเรา เราจะเดือดร้อนเป็นทุกข์ แต่ถ้าไหม้บ้านคนที่ไม่ชอบหรือไม่รู้จัก เรามักวางเฉยไม่เดือดร้อน
ดังนั้น ความทุกข์ทั้งหมดจึงเกิดจากความยึดมั่นในตัวตน ขณะเจริญสติเฝ้าดูอาการทางกายกับจิต จะรู้สึกว่ามีเพียงสภาวธรรมทางกายกับจิตที่เกิดขึ้นตามเหตุปัจจัย ไม่มีตัวเรา ของเรา อยู่ในสภาพธรรมเหล่านั้น และสภาพธรรมเหล่านั้นก็ไม่ใช่ตัวเรา ของเรา ความรู้สึกเช่นนี้คือการคลายความยึดมั่นในตัวตนอย่างแท้จริง
พระพุทธองค์ตรัสสอนให้เพิกถอนความยึดมั่นในตัวตนไว้ว่า
ผู้ที่เห็นภัยในวัฏฏะ พึงเจริญสติพากเพียรเพื่อคลายความยึดมั่นในตัวตน เหมือนดั่งบุคคลที่ถูกหอกแทงและถูกไฟเผาศีรษะ
จิตที่อบรมแล้วจนกระทั่งบรรลุความสงบสุข ย่อมจะเป็นอิสระพ้นจากกิเลสได้ชั่วขณะ เหมือนคนมีหนี้แล้วปลดเปลื้องได้ ย่อมจะได้รับความสบายใจ และ
เมื่อปัญญาพัฒนาจนบรรลุอริยมรรคที่ละกิเลสได้โดยสิ้นเชิง จิตของเราจะเป็นอิสระพ้นจากกิเลสตลอดกาล และหลุดพ้นจากการเวียนตายเวียนเกิดในวัฏสงสาร
โคลนตมเกิดจากน้ำ ย่อมถูกชำระล้างด้วยน้ำ ฉันใด กิเลสเกิดจากจิต ย่อมถูกชำระให้หมดจดด้วยการอบรมจิต ฉันนั้น
จากหนังสือ ศึกษาวิธีเจริญสติด้วยภาษาง่ายๆ
พระคันธสาราภิวงศ์