พระครูอรุณธรรมรังษี (หลวงปู่ลุน ณ อุบล)
มหาฐาน ๗ฐานที่ ๑ ให้เพ่งดูหทัยวัตถุ
ฐานที่ ๒ ให้ดูจุดประสงค์ จุดประสงค์คือให้วางความคิด
ฐานที่ ๓ ไม่ให้ติดอยู่ในความรู้ อันผ่านมาทางทวารทั้ง ๖
ฐานที่ ๔ ให้เอาสติเป็นนายประตู ดูทวารทั้ง ๖
ฐานที่ ๕ ให้อยู่กับความไม่ถือมั่น
ฐานที่ ๖ ให้เลือกเฟ้นแห่งไตรลักษณ์สาม
ฐานที่ ๗ ให้ถามถึงผู้ไม่ตาย ๔ ( เครื่องสอบผลจิต )
ขึ้นฐานที่ ๔ ให้เอาสติเป็นนายประตู ดู(มโน)ทวาร
เมื่อโยคาวจรผู้บำเพ็ญ รู้ว่าจิตหลุดพ้นแล้ว ถ้ามีปัจจเวกขณะญาณ จิตจึงไม่กำเริบ เหตุนั้นในฐานที่ 4 จึงให้มีสติเป็น นายประตูดูทวาร เมื่ออารมณ์ ผ่าน เกิดดับ ต้องให้รู้ เวลาไหน รู้ เวลานั้นเป็น วิชา เวลาไหนไม่รู้ เวลานั้นเป็น อวิชา
ทวารตาก็ไม่สำคัญ ตาเป็นดุจกล้องส่อง คนที่ส่องกล้องข้างในสำคัญ หูเป็นดุจวิทยุเครื่องรับเสียง คนที่ฟังเสียงอยู่ข้างในสำคัญ คนที่ดมกลิ่น คนที่ลิ้มรส คนที่ถูกต้องโผฏฐัพพะสำคัญ ให้จับเอาให้ได้แต่ ตัวสำคัญจริง ๆ คือผู้รับธรรมารมณ์อันได้แก่ใจ ใจเป็นใหญ่
ใจย่อมอยู่ในมโนทวาร อารมณ์ผ่านทวารภายนอก ก็เข้าไปบอกให้ ใจ เป็นผู้รู้ มันสายโทรศัพท์ เข้าไปถึงกันได้รวดเร็ว จึงไม่ต้องดูทวารอื่นให้ลำบาก ดูแต่มโนทวารอย่างเดียวเท่านั้นก็พอ เมื่อผู้บำเพ็ญมีสติเป็นนายประตู ดูมโนทวาร เมื่ออารมณ์ผ่านก็จะเข้าไปบอกให้ท่านรู้เอง ไม่ต้องไปดูที่อื่นให้ลำบาก เหมือนคนดูหนัง เขาย่อมดูที่ จอหนัง
เพราะจอหนังเป็น ที่ประชุม แห่งรูปหุ่นก่อน แต่รูปยังไม่ปรากฏบนจอหนัง จอหนังย่อม ว่างเปล่า จอหนังจะมีรูปหุ่น อาศัยเครื่องฉายหมุน เครื่องฉายจะหมุนอาศัยคนฉายเมื่อรูปหุ่นมาปรากฏที่จอหนัง จอหนังจึง กลาย เป็นบ้านเป็นเมือง เป็นแม่น้ำลำธาร เป็นสัตว์เป็นคน เป็น พระเอก นางเอก สารพัด นับไม่ถ้วนรวมความลง ในการดูก็มีอยู่ 2 อย่าง คือ ทำให้คนที่ดูชื่นชนยินดีอย่างหนึ่ง ทำให้ชิงชังยินร้ายอย่างหนึ่ง การดูหนังใน คือดูหทัยวัตถุ ก็ไม่มีต่างกันเลย เมื่อไม่มีอารมณ์ อันใดหทัยวัตถุก็ว่างเปล่าอยู่
เมื่อมี ผัสสะ เข้ามากระทบทวารเข้าแล้ว ก็จะเห็นเป็นเรื่องเป็นราว มีทั้ง สุข มีทั้ง ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์ มีทั้ง ดี มีทั้ง ชั่ว มีทั้ง บาป มีทั้ง บุญ สารพัด นับไม่ถ้วน แต่เมื่อ สรุปความลงก็คงมี 2 คือ อิฎฐารมณ์ อารมณ์ที่ชอบอย่างหนึ่ง อนิฏฐารมณ์ อารมณ์ที่ไม่ชอบอย่างหนึ่ง
เหตุปัจจัยที่ทำให้สังขารเกิด
เมื่อดูหนังในให้มากเข้าแล้ว จะจับต้นสายปลายทางแห่งสังขารอันมาประชุมแต่งในดวงหทัยวัตถุ จะเห็นสังขารที่เป็นอดีตบ้าง อนาคตบ้าง ปัจจุบันบ้าง เป็นไปในภูมิสาม คือ กามาวจรภูมิ รูปาวจรภูมิ อรูปาวจรภูมิ จะมาประชุมที่หทัยวัตถุสังขารเหล่านี้มาจากอะไร เมื่อสาวเข้าไปหา ต้นเหตุ จะรู้ได้ว่าสังขารเหล่านี้เกิดจาก
อาหาร อย่างหนึ่ง
กรรม อย่างหนึ่ง
ตัณหา อย่างหนึ่ง
อวิชา อย่างหนึ่ง
อาหารมี ๒
กวลิงกาฬาหาร อาหารคือคำข้าว เป็นอาหารของ กาย
ผัสสาหาร การกระทบทางทวาร เป็นอาหารของ ใจ
กรรม คือ กุศลกรรม และ อกุศลกรรม อันเกิดแต่การกระทำ ทำไว้แต่อดีตบ้าง ปัจจุบันบ้าง ทำทางกาย พูดทางวาจา ตัว มโนกรรม เป็นผู้สั่งให้ทำ ทำแล้วตัวมโนกรรมก็เป็นผู้สั่งสมเอาไว้ กรรมเหล่านี้เกิดจากตัณหาความอยาก
หทัยวัตถุเทียบกับจอหนัง
ตัณหา มาจาก อวิชา ความไม่รู้เท่าบุญเท่าบาป ดวงหทัยวัตถุจึงเปรียบเหมือนจอหนัง กายสังขารทุกส่วนเปรียบเหมือนโรงหนัง สังขารที่เข้ามากระทบหทัยวัตถุเปรียบเหมือน รูปหุ่น เข้ากระทบที่จอหนัง ตัณหา ความอยาก เปรียบเหมือนเครื่องฉายหนัง เมื่ออยากในเรื่องไหนก็ฉายในเรื่องนั้น ตัวอวิชา เปรียบเหมือนคนฉายหนัง เมื่ออวิชาดับ ไม่เข้าไปหนุนตัณหาให้อยาก สังขารความปรุงแต่งก็ดับ เมื่อสังขารความปรุงแต่งดับ ดวงหทัยวัตถุก็ว่างเปล่า ฉันใด
เมื่อคนฉายหนังหยุดฉาย เครื่องฉายมันก็หยุด เมื่อเครื่องฉายหยุดรูปหุ่นก็ไม่ปรากฏที่จอหนัง จอหนังจึงว่างเปล่า เมื่อผู้บำเพ็ญรู้แจ้งดังนี้แล้ว ก็ให้มี ปัจจเวกขณะญาณ การ กำหนดรู้ ตัวปัจจเวกขณะญาณ นี้แหละเป็น ตัววิชา เป็นเครื่องห้ามอวิชาไม่ให้เข้าไปหนุนตัณหาให้อยาก เมื่อตัณหาไม่อยากแล้ว ความคิดในสามกาลจึงไม่มี
เมื่อความคิดในสามกาลไม่มี หทัยวัตถุจึงว่างเปล่า ที่ว่าสังขารดับหมายเอา ดับความคิดในสามกาล เท่านั้น ส่วนวิญญาณ ความรู้ในทวาร ๖ เป็นของ ดับไม่ได้ ดับได้แต่เวลานอนหลับเท่านั้น เมื่อตื่นขึ้นมา ก็ต้องได้เห็น ต้องได้ยิน ขันธ์อันนี้ท่านเรียกว่า วิบากขันธ์ เป็นตัวทุกข์สัจจ เป็นของควรกำหนดรู้ ห้ามแต่ไม่ให้เข้าไปยึด
ถ้าเข้าไปยึดเป็น สมุทัย เหตุให้เกิดทุกข์ ถ้า ว่าง เป็น นิโรธ ความดับทุกข์ กริยา ที่ปล่อยวางเป็น มรรค การออกจากขันธ์ คือ เมื่อรู้ก็สักแต่ว่ารู้ ไม่ใช่เรารู้ ได้กล่าวแล้วในฐานที่ ๓ ถ้า ออกจากวิญญาณขันธ์ ได้ก็นับว่า หมดเรื่องวิญญาณขันธ์ก็นับเข้าในนามขันธ์คือใจ
เมื่อ ออกจากใจ ได้ก็ หมดเรื่อง เพราะราคะ โทสะ โมหะ มันเกิดขึ้น มันก็เกิดขึ้นที่ใจ ถ้าทิ้งใจแล้ว ก็เป็นอันว่า ตัดต้นทางของกิเลส กิเลส คือ ราคะ โทสะ โมหะ จึงเปรียบเหมือนไฟ วิญญาณคือใจเปรียบเหมือนเชื้อของไฟ ถ้าทิ้งเชื้อไฟก็เท่ากับทิ้งไฟ กล่าวย่อๆ ก็ให้ วางรูป วางนาม คือวางกายกับใจเท่านั้น
ถ้าวางรูปขันธ์ วางนามขันธ์ได้แล้ว ก็ไม่เห็นมีอะไรอีก ที่จะนำมากล่าว ที่กล่าวกันไปมาก ๆ เพื่อให้ฟังกันให้สนุกเท่านั้น จึงจะนำมากล่าวอีก ถ้าทิ้งกายกับใจได้แล้ว ไม่ต้องฟังอีกก็ได้ ฟังไปได้ก็ เบื่อหู เบื่อตา เปล่า ๆ ถ้าทิ้งใจยังไม่ได้ให้ฟังอีกก่อนใจจะเกิดมีขึ้น อาศัยอะไร อะไรเป็นเหตุให้มีใจ อ้อ ใจมีขึ้นนั้น
อาศัยตากับรูป เกิดจักขุวิญญาณ
อาศัยหูกับเสียง เกิดโสตวิญญาณ
อาศัยจมูกกับกลิ่น เกิดฆานวิญญาณ
อาศัยลิ้นกับรส เกิดชิวหาวิญญาณ
อาศัยกายกับโผฎฐัพพะ เกิดกายวิญญาณ
อาศัยใจกับธรรมารมณ์ เกิดมโนวิญญาณ
ประชุมธรรมอย่างละสาม ๆ เป็นปัจจัยให้เกิด ผัสสะ ผัสสะจึงเป็นปัจจัยให้เกิด เวทนา สุขบ้าง ทุกข์บ้าง ไม่สุข ไม่ทุกข์บ้าง
เมื่อบุคคลใดถูกต้องสุขเวทนาแล้ว ไม่เพลิดเพลิน ไม่ชื่นชม ไม่หมกมุ่นติดอยู่ อนุสัย คือ ราคะ ก็ไม่ตามนอนในสันดาน ของบุคคลนั้น
เมื่อบุคคลนั้นถูกต้องทุกข์เวทนาแล้ว ไม่โศกเศร้าเสียใจ ไม่ตีอกร้องไห้ ไม่คร่ำครวญหลงใหล อนุสัย คือ ปฏิฆะ ก็ไม่ตามนอนในสันดาน ของบุคคลนั้น
เมื่อบุคคลนั้นถูกต้อง อทุกขมสุขเวทนาแล้ว รู้จักความเกิด รู้จัก ความดับ รู้จัก ความอร่อย รู้จัก ความให้โทษ รู้จัก ออกจาก เวทนานั้นโดยชัดเจนตามเป็นจริง อนุสัย คือ อวิชา ก็ไม่ตามนอนในสันดาน ของบุคคลนั้น
บุคคลนั้นละ อนุสัย คือ ราคะ ในสุขเวทนาได้แล้ว
ถ่ายถอน อนุสัย คือ ปฏิฆะ ในทุกขเวทนาได้แล้ว
เพิกถอน อนุสัย คือ อวิชา ในอุทกขมเวทนาได้แล้ว
กระทำวิชาให้เกิด จักทำที่สุดแห่งทุกข์ได้
ในสูตรนี้เรียกว่า เวทนา ให้ออกจากเวทนา ถ้าออกจากเวทนาได้ ก็ออกจากใจได้ ใจอันเดียวมันมีสัญชาติต่าง กัน จึงเรียกไปตามสัญชาติของใจ คือมันมี เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ รวมกันเข้าจึงเรียกว่าใจ ตัวแกงอันเดียวกันมีหลายรส คือ รสเปรี้ยว รสเผ็ด รสเค็ม รสหวาน ไปตามอรรถรสของแกง มีอยู่ ๔ รส ถ้ารวมกันเรียกว่า แกง อันเดียว เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เปรียบเหมือนรสของแกง ใจ จึงเปรียบเหมือนแกง ถ้าวางแกงได้ก็เป็นอันว่าวางรสของแกงทั้งหมด ฉันใดถ้าวางใจได้ก็เป็นอันว่าวาง เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ทั้งหมด ของ ๔ อย่าง ถ้าวางอันหนึ่งได้ ก็ได้ไปหมด
ถ้าวางไม่ได้ ต้องการอยากเห็นพระนิพพาน ก็ไม่เห็น เพราะพระนิพพานไม่มีขันธ์ ขันธ์บังพระนิพพานอยู่มิดชิด ถ้าอยากเห็นพระนิพพาน ก็ต้องเพิกขันธ์ออกให้หมด ถ้าเพิกขันธ์ไม่ได้ วางขันธ์ไม่ได้ ก็เป็นอันว่าหมดหวัง จะแสวงหาหนทางอื่น ไม่มีหนทาง มีหนทางเดียวเท่านี้ เพราะขันธ์ของเราไม่เป็นของที่มีจริง เป็นของหลอกลวงให้เราเข้าไปยึดถือ
สิ่งใดที่เราเข้าไปยึดถือโดยความเป็นเจ้าของ จะเป็นของหาโทษมิได้ สิ่งนั้นย่อมไม่มี
สิ่งทั้งปวงทั้งวัตถุภายในคือในตัวเรา หรือ วัตถุภายนอกคือ นอกตัวเราก็ดี ไม่มีสิ่งใดเป็นสาระแก่นสาร มีแต่สิ่งที่ให้เกิดโทษโดยส่วนเดียว เหตุนั้นฐานที่ ๕ จึงให้อยู่กับความไม่ถือมั่น
จบฐานที่ ๔