เห็นอย่าเป็น
เราเป็นนักปฏิบัติเห็นมันปวด เห็นมันเมื่อย เราเห็นมันเป็น อย่าเอาเราไปเป็น ถ้าเอาเราไปเป็นเมื่อไร เราก็เป็นไปกับมันเมื่อนั้น มีคนหนึ่งเขียนว่า “ เมื่อหลงคิดก็เอาปัจจัย ๕ ตัวที่พระอาจารย์สอนมารู้ก็ช่วยให้หายไปได้ ” พระอาจารย์ก็งงมาก ว่าสอนตอนไหน เราว่าเราสอนปัจจัย ๔ เอามาดูว่าอ่านผิดจังหวะหรือเปล่า ต้องอ่านว่า เมื่อหลงคิดก็เอาปัจจัย ๕ ตัว ที่พระอาจารย์สอน เอออย่างนี้ค่อยเข้าใจถูกหน่อย ซึ่งมีอะไรบ้างนะ
- สติมันอ่อน สติยังไม่มีกำลัง
- มีความรู้สึกมันเป็นอัตตา ว่าเป็นเรื่องของเรา
- มีความเพลิน
- มีความอยาก มีความเสียดาย
- เข้าไปเป็นกับมัน ซึ่งเราเข้าไปเห็นเอง
๑. สติยังไม่มีกำลัง ทำให้เกิดความยืดเยื้อ จะใช้สัญลักษณ์เปรียบเทียบกับสติ คือ แมวที่มันยังตัวเล็กตามภาษาหลวงปู่เทียน มันยังไม่สามารถสู้กับหนูท่อกรุงเทพฯ ตัวใหญ่ คือความหลงคิด ที่เข้าไปมันทำให้มีความยืดเยื้อเกิดการปรุงแต่งทางจิตและไม่สามารถสลัดได้
๒. คือเรื่องที่มันเผลอคิดขึ้นมา ความรู้สึกนึกคิดที่เกิดขึ้นมามันมีตัวเรา เรามีได้มีเสีย มันเป็นเรื่องของเรา ตัวเรา ของเรา พอมันมีความรู้สึกแบบนี้ขึ้นมามันก็ออกได้ยาก แต่ถ้าจิตปรุงแต่งเรื่องสัพเพเหระ มันจะสละทิ้งได้ง่ายมากเลยมันจะสลัด ทิ้งได้เองด้วยตัวของมัน โดยพื้นฐานสติมันจะเขี่ยทิ้งอยู่แล้ว ซึ่งแตกต่างจากการปรุงแต่งที่มีตัวเราของเรา มันเกิดอัตตาตัวตน มันจะสลัดทิ้งได้ยาก มันจะเกิดความยืดเยื้อต่อไป
๓. เมื่อมันมี “นันทิ” คือ มีความเพลิน ติดในรสชาติของการปรุงแต่งนั้น การที่จะออกได้ง่ายๆ ก็เป็นไปได้ยาก แม้ทุกข์มันมีรสชาติแบบทุกข์ ความหลงเพลิดเพลินในรสชาติมันหลงข้ามภพข้ามชาติได้อย่างที่บอกว่า เพราะมันติดในรสมันจึงเกิดชาติ บรรพบุรุษของเราจึงกำหนดคำว่า รสชาติ ขึ้นมา จะเห็นว่าบรรพบุรุษของเราท่านใช้ปรมัตถธรรม ท่านใช้ธรรมชั้นสูงในการบัญญัติศัพท์อย่าง “คุณค่ากับมูลค่า” ต่างกันลิบลับ คุณค่าคือ ค่าที่บ่งบอกถึงความมีคุณ แต่มูลค่ามันผิดตั้งแต่มันขึ้นต้นว่ามูลแล้ว มูลเป็นของต่ำ ซึ่งมูลค่าเราตีความหมายเป็นเรื่องของราคา ราคาก็มาจากคำว่า ราคะ อย่างของที่มีราคามากก็คือของที่มันยั่วราคะเราได้มาก มันสามารถดึงราคะเราได้มากนั่นเอง ดังนั้น คำว่า รสชาติ เพราะมีรสจึงเกิดชาตะ คือ ต้องเวียนว่ายตายเกิด เพราะติดในรส เป็นชาติแล้วชาติเล่าเพราะติดในรส
มีเรื่องหนึ่งในชาดก พระพุทธองค์ทรงตรัสเรื่องนี้ มีกวางตัวหนึ่งสวยมาก พระราชามาเห็นอยากได้ คนสวนบอกจะจับมาให้ เลยเอาหญ้าไปจุ่มน ้าผึ้งก็หลอกล่อมาเรื่อยๆ จนมันติดในรสชาติ เลยตามมาจนจับได้ ท่านทรงตั้งใจจะบอกว่าเพราะการติดในรสชาติท าให้น าภัยมาให้ตนเอง และภัยที่ใหญ่หลวงที่สุด คือ ภัยในวัฏฏสงสาร
พระอาจารย์ขอยกตัวอย่างว่า หลวงปู่มั่น บำเพ็ญเพียรอยู่ที่ถ้ำสาลิกา แล้วท่านสังเกตว่าเวลาเข้าสมาธิทีไรจะมีนิมิตเป็นลูกหมามาเกาะแข้งเกาะขา สงสัยว่ามันคืออะไร เมื่อท่านพิจารณาดูแล้วจึงรู้ว่า อดีตชาติของท่าน ท่านเคยเกิดเป็นลูกหมาถึง ๗ ชาติ เพราะติดใจในรสชาติของความเป็นหมา ก็เลยต้องเวียนว่ายในความเป็นหมา ซึ่งความติดใจในรสชาตินั้นทำให้เราถอนออกมาได้ยาก ไม่สามารถสลัดความรู้สึกนึกคิดนั้นออกมาง่ายๆ มันเกิดความอยาก เสียดาย มันจึงทำให้ไหลออกไปกับสิ่งนั้น เราจึงกลายเป็นผู้เป็นกับความรู้สึกนึกคิดอารมณ์ต่าง ๆ เหล่านั้น ตกเข้าหลุมพรางในเวทนา จิต และธรรม ความรู้สึกคือเวทนา ความคิดคือจิตตา และธรรมารมณ์ต่าง ๆ หรืออารมณ์ต่าง ๆ คือ ธรรมานุปัสสนา หลุมพรางเหล่านี้มันเป็นหลุมพรางที่จิตเรามักจะเผลอ และก็ตกเข้าไปอยู่เรื่อย ๆ พอเราตกเข้าไปปุ๊บเราก็กลายเป็นผู้เป็น เป็นผู้อยู่ในเวทนานั้น เป็นผู้อยู่ในจิตตานั้น เป็นผู้อยู่ในความคิดเหล่านั้น เป็นผู้อยู่ในธรรมารมณ์เหล่านั้น กลายไปเป็นผู้เป็น
ดังนั้น พระพุทธเจ้าสอนเราว่า ให้เราเป็นผู้เห็น เห็นเวทนาในเวทนา เห็นจิตในจิต เห็นธรรมในธรรม ท่านไม่ได้บอกให้เราไปเป็น ท่านบอกให้เราเห็นดังนั้น เราจะเป็นผู้เห็น คือ ภาวะเราหลุดออกมา แล้วเป็นผู้ดู ผู้เห็นมัน แล้วอะไรที่จะเป็นตัวน าพาให้เราหลุดออกมา คือ สติ สติสัมปชัญญะจะเป็นตัวน าพาให้เราหลุดออกมา แล้วมองย้อนกลับไปเห็นมัน เพราะขณะที่เรามะรุมมะตุ้มอยู่ในมัน เราจะไม่เห็นมัน เพราะเวลาเกิดอะไรขึ้นมา แล้วเราเข้าไปเป็นกับมัน เราจะไม่เห็น เพราะเราอยู่ในกระแสของมัน
เหมือนลูกศิษย์พระอาจารย์ที่ชื่อแอนด์ดรู เขาบอกเพิ่งรู้จักวัด แม้ว่าอยู่วัดมาตั้งนานจนเขาเข้าไปในเมืองเจอความวุ่นวายในเมือง จึงรู้ว่าวัดนี้มันสงบอย่างนี้นี่เอง ก็เหมือนกับตอนที่เขามาอยู่เมืองไทย เขาจึงเพิ่งรู้ว่า เยอรมนีเป็นอย่างไรแล้วเมื่อเขาออกจากเมืองไทยเขาถึงจะเห็นเมืองไทย คือ ขบวนการที่เราไปอยู่ท่ามกลางมัน เราไปเป็นกับมันเมื่อไร เราไม่มีทางรู้จักมัน เราต้องออกไปก่อน ดังนั้น ขบวนการแห่งการเจริญสตินี่เอง ทำให้เราออกไปก่อน เราถึงจะมองย้อนกลับเข้ามาได้
ครั้งหนึ่งพระอาจารย์ไปเที่ยวกับหลวงพ่อ ไปเพชรบุรีขึ้นไปบนยอดเขา โยมบอกว่าจะพาไปดูทะเลหมอก ทั้งพระอาจารย์กับหลวงพ่อ ก็ไปยืนตรงหน้าผากัน โยมคนที่พาไปก็บอกว่า หลวงพ่อครับ ถ้าเรามาช้ากว่านี้หมอกมันจะขึ้นมาถึงเราเลยนะครับเนี่ย เราจะอยู่ท่ามกลางมันเลย หลวงพ่อก็เลยบอกว่าดีแล้วหล่ะ ถ้าเราอยู่ท่ามกลางมันเราก็ไม่เห็นมัน เราจะเห็นทะเลหมอกได้ยังไง ถ้าเราอยู่ท่ามกลางมัน เพราะฉะนั้นเมื่อเราอยู่ข้างนอกมัน เราก็จะเห็นว่า มันมีลักษณะรูปร่างอย่างไร นั่นคือ ลักษณะที่จะให้เรารู้ว่าเมื่อเกิดอะไรขึ้น เกิดความรู้สึกนึกคิดอะไรก็ตาม สิ่งที่เราต้องทำก็คือ เจริญสติ เมื่อเราเจริญสติ รู้สึกตัว มีสติสัมปชัญญะ เราจะหลุดออกไป พอเราหลุดออกไป เราก็จะมองย้อนกลับมาเห็น เมื่อเราย้อนกลับมา
เห็น เราก็จะเห็นธรรมชาติของเวทนาว่าเป็นอย่างไร คือ เห็นเวทนาในเวทนาเห็นความเป็นจริงในเวทนานั่นเอง เห็นจิตในจิต คือ เห็นธรรมชาติของการปรุงแต่งทางจิต คือความคิดที่มันปรุงแต่งกันขึ้นมาตามความเป็นจริง พระพุทธเจ้าท่านสอนให้เราเห็นตามความเป็นจริง
ดังนั้น ขบวนการที่เราจะเห็นตามความเป็นจริงได้ คือเราต้องไม่เข้าไปเป็นกับมัน หลวงพ่อคำเขียน จึงพูดวลีที่ ๒ ว่า “ผู้ดู ผู้เป็น” คือเมื่อเราเป็นผู้ดู เราจะไม่เป็นผู้เป็น แต่ถ้าเราเป็นผู้เป็นเราก็ไม่มีวันเป็นผู้ดูได้ เพราะฉะนั้นขบวนการเจริญสติอย่างต่อเนื่อง แล้วทำให้ความรู้สึกตัวชัดขึ้นเรื่อยๆ และทำให้ความรู้สึกตัวนั้นเป็นวิหารธรรมขึ้นมา คือเมื่อเราเจริญสติดีแล้ว คือการที่เรามีความรู้สึกตัวดี รู้ตัวทั่วพร้อม มันจะกลายเป็น “วิหารธรรม” ธรรมอันเป็นเครื่องอาศัย
แล้วมันจะอยู่ตรงกลางระหว่าง ที่มันจะมองเห็นทั้งข้างในและข้างนอก ไม่ตกเข้าไปข้างใน ไม่ฟุ้งออกไปข้างนอก ซึ่งอยู่ตรงกลาง และตรงนี้แหละคือเคล็ดที่ทำให้เจ้าชายสิทธัตถะ ค้นพบในค่ำคืนวันเพ็ญเดือน ๖ และท่านใช้ตัวนี้แหละเฝ้าดูสิ่งที่เกิดขึ้นตลอดคำคืนนั้น
สมัยก่อนเจ้าชายสิทธัตถะฝึกเป็น ผู้เป็นหมดเลย ได้สมาบัติ ๘ คือ รูปฌาน ๔ อรูปฌาน ๔ ได้สิ่งนั้นแล้วเกิดอะไรขึ้น คือ เกิดภาวะของผู้เป็น คือเข้าไปเสวยความรู้สึกของฌาน อารมณ์ของฌาน ฌานคือความเป็นผู้เป็น
วิปัสสนาญาณทำให้ไม่เป็น ญาณ คือผู้ดูผู้เห็น ฌานคือผู้เป็น ถ้ายังติดในอารมณ์ของฌาน แปลว่า ยังเป็นผู้เป็น แต่ถ้าเป็นญาณ แปลว่า มันหลุดออกมาแล้ว มันพ้นออกมาแล้ว ถึงจะมองเข้าไปเห็น เพราะฉะนั้น ในขณะที่ท่านได้สมาบัติ ๘ ท่านก็ยังเป็นผู้เป็นอยู่ ยังเข้าไปเป็นภายในดำดิ่งลงไป พอมาเปลี่ยนมาทรมานกายยิ่งไปกันใหญ่
จนกระทั่งท่านเปลี่ยนมาเป็นขบวนการเจริญสติ ในวันเพ็ญเดือน ๖ ท่านประคองจิตเฉยๆ ไม่ให้ตกเข้าไปข้างในไม่ให้ฟุ้งออกไปข้างนอก แต่ใช้ลมหายใจเข้าหายใจออกเป็นฐานที่ตั้ง ถ้าเราดูอานาปานสติสูตร จะเห็นว่า รู้อยู่และแลเห็น รู้ลมหายใจเข้า รู้ลมหายใจออก รู้ลมหายใจเข้ายาว รู้ลมหายใจออกยาว รู้ลมหายใจเข้าสั้น รู้ลมหายใจออกสั้น รู้การปรุงแต่งของลมกับกายว่าเป็นอย่างไร รู้จิตว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เพราะฉะนั้นภาวะความเป็นผู้รู้ได้เกิดกับท่าน นั่นคือ สติ ที่ตั้งมั่นและประคองจิตเอาไว้ ไม่ให้ตกเข้าไปภายใน และไม่ให้ฟุ้งออกไปข้างนอก แต่รับรู้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นมองเห็นความสัมพันธ์กันระหว่างกายกับจิตอย่างต่อเนื่อง
ท่านมองเห็นว่า เมื่อกายระงับจิตก็ระงับ เมื่อลมละเอียดกายก็ละเอียด ไม่ได้เป็นกับมัน ท่านมองเห็นมันเป็น ขบวนการนี้เองทำให้ท่านเข้าใจตามความเป็นจริงนั่นแหละ เพราะฉะนั้นการที่เราปฏิบัติแล้วเข้าไปดื่มด่ำกับความสุขสงบ ก็ไม่ผิด เป็นไปเพื่อให้จิตมีกำลังบ้าง นั่นคือการพัก แต่ที่ถูกกว่า แม้แต่ความสงบและความสุขเหล่านั้น เราก็เป็นเพียงแค่เห็น เห็นว่ามันมี เห็นว่ามันเป็น มันจะมีอาการสงบลงไปเราก็รู้ว่ามันเป็นอย่างนั้น
กระบวนการแห่งการเจริญสติ เราจะเฝ้าดูจิตของเราแปรเปลี่ยนเป็นอาการต่างๆ แม้แต่ความสงบที่เกิดขึ้นก็เป็นอาการหนึ่งของจิต ฟุ้งซ่านก็เป็นอาการหนึ่งของจิต มันเป็นอย่างไรก็ตาม มันก็เป็นอาการที่เปลี่ยนไปของจิต
ถ้าเรามีผู้รู้ ตัวความรู้สึกตัวชัดเจน เรากลายเป็นผู้ดู มันจะมองเห็นขบวนการการเปลี่ยนแปลงไปของจิต แต่ภาวะผู้ดูมันจะทำให้มองเห็นว่า แม้ว่ามันจะเปลี่ยนเป็นอาการใดก็ตาม สุดท้ายอาการที่เปลี่ยนไปเหล่านั้นมันก็หาย มันก็ดับ จะเห็นอยู่อย่างนั้น ซึ่งเห็นตามธรรมชาติของมัน เห็นตามความจริงเห็นไม่ผิดจากพระไตรลักษณ์
ถ้าเห็นผิดจากพระไตรลักษณ์เราเรียกว่า “วิปลาส” มีคำพูดของหลวงปู่สายวัดป่ากล่าวว่า “เห็นกาน้ำ ๑ ใบ รู้จักกาน้ำ ๑ ใบ มีร้อยมีพันกา มันก็เป็นอย่างเดียวกัน” เมื่อจิตมองเห็นความไม่แตกต่าง มันจะเกิดการวางเฉยต่อการหลงเข้าไปยึด คลายจากการหลงเข้าไปยึด มันก็เป็นอย่างนี้เอง มันจะไม่หลงไปเอาสิ่งนั้นมีค่าความหมายอีก ไม่ให้ความหมายมันอีกต่อไป มันก็เท่านั้น แต่สิ่งนั้นมันก็ยังมีอยู่ แต่ความรู้สึกในการให้ค่าให้ความหมาย มันไม่มี นั่นก็คือสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอน และวางแนวทางการปฏิบัติให้เราไปพบสิ่งนี้ ไปเข้าใจอย่างนี้ เพื่อให้เราใช้ชีวิตได้อย่างถูกต้องจริงๆ เราจะเกี่ยวข้องทุกอย่างได้อย่างเป็นปรกติมากๆ ตามเหตุปัจจัยของมัน ตามสมมติบัญญัติของมัน ก็ไม่แปลก เพราะพระพุทธองค์ทรงตรัสว่า พระองค์ไม่ได้ปฏิเสธโลก ไม่ได้มองโลกในแง่ร้าย แต่มองเห็นโลกตามความเป็นจริง จึงเห็นว่าแม้โลกจะเปลี่ยนไป แต่คำสอนของพระพุทธศาสนาก็ยังใช้กับโลกได้ตลอดไปเพราะมันเป็นจริง ไม่มีอะไรหนีพ้นกฎพระไตรลักษณ์ได้
ดังนั้น ชาวพุทธจึงเป็นผู้ปรับตัวเข้ากับโลกเพราะรู้เท่าทันว่า นั่นมันต้องเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ดังนั้นเราต้องสร้างความรู้สึกตัวให้มันเด่นขึ้นมา ขอเน้นอีกทีว่าความรู้สึกตัวเกิดขึ้นได้ในทุกๆอิริยาบถ เพียงแค่เราใส่เจตนาที่จะทำมันและรู้กับสิ่งที่ทำในปัจจุบันขณะนั้น
ในบทภัทเทกะรัตตะคาถา “แม้ผู้ใดเห็นธรรมเกิดขึ้นเฉพาะหน้าในที่นั้นๆอย่างแจ่มแจ้ง ไม่ง่อนแง่นคลอนแคลน เขาควรพอกพูนอาการนั้นไว้ ” แล้วเราควรทำให้มันเจริญให้มากขึ้น ด้วยวิธียกมือสร้างจังหวะก็รู้สึก เดินจงกรมรู้สึก หายใจเข้า หายใจออก รู้สึกท้องยุบเข้า พองออก รู้สึกกะพริบตา กลืนน ้าลายรู้สึกกับมันได้ อย่าเป็น แค่รู้กับสิ่งนั้น อะไรก็เป็นฐานที่ตั้งในการเจริญสติได้หมดเลย แม้ลมพัดมากระทบโดนผิวเรา เราก็รู้ บางครั้งไม่ต้องแทนด้วยภาษาก็ได้
มีเรื่องเล่า ท่านเจ้าคุณกับหลวงตาวัดป่า เทศน์ ๒ ธรรมาสน์ วันนี้เราจะมาสาธยายให้ญาติโยมได้ฟัง พอสดับสติปัญญาว่าด้วย อาทิตตปริยายสูตร ความโลภมันร้อนเป็นไฟ ความโกรธมันร้อนเป็นไฟ ความหลงมันร้อนเป็นไฟ ท่านเจ้าคุณ ป.ธ. ๙ อธิบายก่อน
ความโลภมันร้อนเป็นไฟ ท่านก็อธิบาย ด้วยภาษาสุดยอด ด้วยความรู้ที่เรียนมา ชาวบ้านก็สรรเสริญว่า ท่านอธิบายชัดเจนแจ่มแจ้ง เสร็จแล้วท่านเจ้าคุณก็หันมาทางหลวงตา เอ้า หลวงตาช่วยอธิบายให้โยมเข้าใจหน่อยซิ ความโกรธมันร้อนเป็นไฟมันเป็นอย่างไร ท่านหลวงตาก็นั่งเฉย ท่านเจ้าคุณก็ว่า หลวงตาได้ยินไหม หลวงตาก็นั่งเฉย ได้ยินไหมเนี่ย เสียงเริ่มห้วน หลวงตายังเฉยหลวงตาได้ยินไหม หลวงตาก็หันไปมองหน้าแล้วเฉย ท่านเจ้าคุณก็เริ่มหงุดหงิด ซักพักหลวงตาก็หยิบไมค์มา แล้วพูดสั้นๆ ๒ พยางค์ “ส้นตีน” ลองคิดดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น ท่านเจ้าคุณเดือดปุดๆ หลวงตาเป็นใครบังอาจมาว่าเรา ปากสั่น หลวงตาหันไปมองแล้วก็พูดว่า “ นี่ไงความโกรธมันร้อนเป็นไฟ ไม่ต้องอธิบายหรอกมันมีอยู่แล้วแต่ว่าเราจะไปเห็นมันหรือเปล่า หรือเราจะไปเป็นกับมัน” พูดแค่นี้จบคือถ้าเห็นก็แปลว่าเราทัน ถ้าเป็นคือเราไม่ทัน ดังนั้นเราก็มาเจริญสติเพื่อเห็น จะได้ไม่เป็น เริ่มเลย
หนังสือ กลับมารู้สึกตัว หน้า 34-45
พระอธิการครรชิต อกิญฺจโน