ดูกายต้องมีเทคนิค
การมี
สติอยู่กับกายโดยไม่ยึดเป็นเจ้าของกายนั้น บางคนอาจจะทำได้ยาก ทำใจไม่ถูก ก็ลองใช้
เทคนิคนี้ดู อาจจะทำให้เราทำความรู้สึกได้ถูกต้องตรงตามความเป็นจริงมากขึ้น
1. ทำความรู้สึกว่ากายนี้เป็นเหมือนหุ่นยนต์
ให้เราทำความรู้สึกว่า กายนี้เป็นเหมือนหุ่นยนต์ตัวหนึ่ง ถ้าไม่มีจิตสั่งงานก็เคลื่อนไหวไม่ได้ ที่
เคลื่อนไหวไปมาได้เพราะมีจิตสั่ง เมื่อกายเคลื่อนไหวไปอย่างไร ก็ทำความรู้สึกว่าหุ่นยนต์ตัวนี้กำลังเคลื่อนไหวไปอย่างนั้น พยายามสอนตนเองอยู่เสมอว่า หุ่นยนต์ตัวนี้ไม่ใช่เรา หรือไม่ใช่ของเรา
การที่ให้ทำความรู้สึกว่าเป็นหุ่นยนต์นั้น ก็เพื่อที่จะให้ความรู้สึกเป็นเรา หายไปได้ง่ายขึ้น เมื่อกายเดินก็ทำให้ความรู้สึกว่าหุ่นยนต์ตัวนี้เดิน ไม่ใช่เราเดิน เมื่อหุ่นนั่งก็ให้รู้ว่าหุ่นนั่งไม่ใช่เรานั่ง เมื่อหุ่นนอนก็ให้รู้ว่าหุ่นนอน ไม่ใช่เรานอน สิ่งสำคัญคือ เราจะต้องไม่ยึดเป็นเจ้าของหุ่นยนต์ตัวนี้ หุ่นยนต์ตัวนี้มันจะเคลื่อนไหวไปอย่างไร ก็ให้รู้ไปตามนั้น
เราอาจจะทำความรู้สึกว่ากายนี้เป็นเหมือนอย่างอื่นก็ได้ เช่น ทำความรู้สึกว่ากายนี้เป็นเหมือนก้อน
เนื้อที่เคลื่อนไหวไปมาได้ เมื่อกายเคลื่อนไหวไปอย่างไร ก็ให้ความรู้สึกว่าก้อนเนื้อนี้กำลังเคลื่อนไหวไปอย่างนั้นทำไปเรื่อย ๆ ถึงเวลาอันสมควรก็เห็นธรรมเอง
2. ทำความรู้สึกว่าเราเป็นผู้เฝ้าดูอยู่ภายนอกกายนี้
เราอาจจะทำความรู้สึกว่า เราอยู่ภายนอกกายนี้ หรือหุ่นยนต์ตัวนี้ และกำลังเฝ้าดูการเคลื่อนไหวของกายนี้
ทำเหมือนกับเรากำลังจ้องดูคนอื่นเคลื่อนไหว กายนี้เป็นคนอื่นไม่ใช่เรา เราเป็นเพียงผู้จ้องดูอยู่ภายนอก
เมื่อกายนี้เคลื่อนไหวไปอย่างไร เราก็จ้องดูกายนี้เคลื่อนไหวไปอย่างนั้น กายนี้นั่งอยู่ก็มองเห็นว่ากายนี้นั่งอยู่ กายนี้ยืนอยู่ก็เห็นว่ากายนี้ยืนอยู่
เราเป็นเพียงผู้ดูอยู่ภายนอก เมื่อกายนี้หันก็เห็นว่ากายนี้หัน กายนี้นิ่งก็รู้ว่า กายนี้นิ่ง ทำไปเรื่อย ๆ ถึงเวลาอันสมควรก็จะเห็นธรรมเอง
ในทางปฏิบัติการฝึกมีสติอยู่กับกายนี้ทำได้ 2 ลักษณะ คือ
ฝึกในขณะที่ทำกิจต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน กับ
ฝึกแบบทำสมาธิ
1). การดูกายในขณะที่ทำกิจต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน
มีนักปฏิบัติไม่น้อยที่มักจะกล่าวว่าตนเองไม่ค่อยมีเวลาในการปฏิบัติธรรม อันที่จริงถ้าเรารู้หลักของ
การปฏิบัติธรรมที่ถูกต้อง ก็จะพบว่าการปฏิบัติธรรมทำได้ทุกเวลา ทุกสถานที่ อยู่ที่ว่าเราจะทำหรือไม่เท่านั้น
ในชีวิตประจำวัน เราสามารถฝึกมี
สติอยู่กับกายโดยทำผสมผสานไปกับการทำกิจต่าง ๆ ได้ เช่น ขณะที่อาบน้ำ เราก็อาจจะเอาสติดูกายทีเคลื่อนไหวอยู่ในอิริยาบถต่าง ๆ ดูกายที่เดินเข้าห้องน้ำ ปิดประตู หยิบขันตัก น้ำราดตัว หยิบสบู่ถูตัว ดูกายที่ยกแขน หันหลัง ก้มดูกายที่เดินออกจากห้องน้ำ จะเห็นว่าเพียงอาบน้ำอย่างเดียว เราก็สามารถปฏิบัติธรรมได้ตั้งหลายนาทีแล้ว
ขณะเช็ดตัว แต่งตัว เราก็สามารถปฏิบัติธรรมได้โดยการเอาสติดูกายที่เช็ดตัว หยิบเสื้อ ดูกายที่กำลังติดกระดุม นุ่งกางเกง สวมถุงเท้า สวมรองเท้า
เมื่อออกนอกบ้านก็เอาสติดูกายที่กำลังเดินไปรอรถเมล์ ดูกายที่กำลังนั่งอยู่บนรถเมล์ หรือถ้าเราขับ
รถ ขณะที่รถติดเราก็เอาสติดูกายได้ มีหลายคนมักอารมณ์เสียขณะขับรถ โดยเฉพาะตอนที่รถติด ถ้าเรา
ปฏิบัติธรรมตอนที่รถติด ก็จะเป็นประโยชน์มาก เราอาจทำได้โดยการเอาสติมาดูกายที่กำลังนั่งอยู่ ขยับมือขยับเท้า หันซ้าย หันขวา ก้ม เงย
ถ้าทำได้ผล เราก็จะมีอารมณ์ดีในขณะขับรถ ไม่หงุดหงิดเหมือนเดิม
เวลาอยู่ในที่ทำงาน ถ้าเราทำงานที่ต้องใช้ความคิด เราจะไม่สามารถเอาสติมาดูกายได้ เพราะสติ
จะต้องอยู่กับการนึกคิดในเรื่องงาน ตอนนั้นก็ให้เราตั้งใจคิด ละความยินดียินร้ายในเรื่องที่กำลังคิดอยู่นั้น แต่ถ้าเรามีเวลาว่าง แม้เพียงไม่กี่วินาที เราก็สามารถเอาสติมาอยู่กับกายได้ เช่น ขณะที่เราหยิบปากกา หยิบกระดาษ ขณะลุกขึ้นเดินไปหยิบของ ไปห้องน้ำ
ตอนกลางคืนเวลานอน ถ้ายังนอนไม่หลับ เราก็สามารถปฏิบัติธรรมได้โดยการเอาสติมาอยู่ที่กาย
กายนอนอยู่ในท่าใดก็ให้รู้ว่ากายนอนอยู่ในท่านั้น กายนิ่งก็ให้รู้ว่ากายนิ่ง กายขยับก็ให้รู้ว่ากายขยับ มีหลายคนเป็นโรคนอนไม่หลับ ถ้าฝึกเอาสติอยู่กับกายตอนนอนก็จะทำให้หลับได้ง่ายขึ้น เพราะสาเหตุที่นอนไม่หลับ มักจะเกิดจากความเครียด ความกังวล เมื่อเอาสติมาดูกาย จดจ่ออยู่กับกาย ใจก็สบาย ไม่เครียด ไม่กังวล เราก็หลับได้ง่าย หลับได้สนิท
2). การดูกายแบบทำสมาธิ
การฝึกแบบนี้เป็นการมีสติอยู่กับกายโดยไม่ทำกิจอื่นเลย ซึ่งต่างจากวิธีแรกที่เราทำ ผสมผสานไปกับการทำกิจการงานต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน การฝึกมีสติอยู่กับกายแบบทำสมาธินี้ใช้ในกรณีที่เรามีเวลาว่าง เช่น ช่วงตื่นนอนในตอนเช้า หรือ ช่วงก่อนนอน มีวิธีปฏิบัติดังนี้
ให้นั่งขัดสมาธิหรือนั่งในท่าที่สบาย หรืออาจจะอยู่ในท่ายืนหรือนอนก็ได้ ลืมตาหรือหลับตาก็ได้ แต่
โดยทั่วไปลืมตาจะทำได้ง่ายกว่า ให้เราทำกายให้นิ่ง ไม่กระดุกกระดิก เอาสติอยู่ที่ร่างกายทั้งหมด ทำ
ความรู้สึกว่านี่เป็นกาย หรือเป็นหุ่นยนต์ ไม่ใช่เรา แล้วค่อย ๆ หันหน้าไปทางขวาช้า ๆ ทำความรู้สึกว่ากายกำลังเคลื่อนไป แล้วหันกลับมาทางซ้ายช้า ๆ ทำความรู้สึกว่ากายกำลังเคลื่อนมา หันหน้ากลับไปกลับมาอยู่ อย่างนี้ช้า ๆ พร้อมกับให้มีสติรู้สึกตามกายไปตลอด กายอยู่ในลักษณะใด ก็ให้รู้ว่ากายอยู่ในลักษณะนั้น
เราอาจจะเคลื่อนไหวอวัยวะส่วนอื่นก็ได้ เช่น ขยับแขน ขยับมือไปมาช้า ๆ หรืออาจจะอยู่นิ่งไม่กระดุกกระดิก แล้วทำความรู้สึกว่า กายนิ่งอยู่อย่างนั้นก็ได้ ความสำคัญของการปฏิบัติไม่ได้อยู่ที่ท่าทาง แต่อยู่ที่ว่า
เรามีความรู้สึกเป็นเจ้าของสิ่งที่เคลื่อนไหวอยู่นี้หรือไม่ ถ้าไม่มีความเป็นเจ้าของกายนี้ก็เรียกว่าใช้ได้ แต่ถ้ายังมีความเป็นเจ้าของกายนี้อยู่ก็ยังใช้ไม่ได้
จากหนังสือ : วิธีปฏิบัติให้ได้มรรคผล นิพพาน (หน้า25-26)
อาจารย์ชวยง พิกุลสวัสดิ์