กรรมฐานอานาปนสติ..ตอนนี้กายนั่งสบายๆ อยู่นะ ลองเอาจิตไปอยู่ที่ลมหายใจซี..เอาล่ะพอแล้ว.. จำความรู้สึกไว้นะ..ที่นี้เอาใหม่
เอาอีกแบบหนึ่ง...เราเห็นร่างกายมันหายใจ ไม่ได้ดูที่ตัวลมนะ เห็นทั้งตัวเนี่ยมันกำลังหายใจอยู่ ลองดูซี เห็นร่างกายมันหายใจ อย่าให้จิตไปจับอยู่ที่ลมนะ ดูทั้งตัวเห็นร่างกายนี้หายใจ เห็นไหมร่างกายหายใจเข้า ร่างกายหายใจออก เอ้าพอ..
เห็นไหมจิตตอนนี้กับจิตตอนที่จับลมหายใจนะ..รู้สึกไหมไม่เหมือนกัน จิตตอนจับลมหายใจนะ...จิตนิ่งๆ ทื้อๆ นะ แต่ตอนที่จิตรู้ร่างกายหายใจนะ อันนี้ดูทั้งตัวนะ...จิตไม่เหมือนกัน...จิตรู้ รู้สบายๆ ว่าร่างกายหายใจ จิตไม่ถลำเข้าไปเพื่อจะรู้...ลองยิ้มซิ เห็นร่างกายยิ้มนะ.. หน้าบึ่งซิ.. เห็นร่างกายหน้าบึ่งนะ...เนี่ยคอยรู้สึกอยู่นะรู้สึกสบายๆ นะ
ร่างกายเคลื่อนไหว..รู้สึก... ร่างกาย ยืน เดิน นั่ง นอน รู้สึก รู้อยู่บ่อยๆ ร่างกายยิ้ม ใครเป็นคนรู้ ..ใจเราเป็นคนรู้ จะเห็นนะ ร่างกายนี่ เป็นสิ่งที่ใจเราไปรู้เข้า..."ฝึกทุกๆ วันนะ ฝึกให้ชำนาญ กายเป็นสิ่งที่จิตไปรู้เข้า...ฝึกบ่อยๆ" หลวงพ่อสรุป การปฏิบัติน่ะ เริ่มต้นถือศีล 5 ไว้
อันที่สอง ทำในรูปแบบฝึกให้จิตมีความตั้งมั่น
อันที่สาม เวลาที่เหลือปฏิบัติในชีวิตประจำวัน ซึ่งเป็นชีวิตที่ดำเนินไปปกติธรรมดาใช้ชีวิตธรรมดาอยู่ในโลก กระทบอารมณ์ได้ตั้ง 6 ช่อง หู ตา จมูก ลิ้น กาย ใจปฏิบัติในชีวิตจริงยากกว่าในรูปแบบ เพราะกระทบเกิดตลอดเวลา 6 ช่องเลย พอกระทบอารมณ์ไม่ห้าม พอกระทบแล้วนะ ร่างกายเป็นอย่างไร รู้สึก จิตใจเป็นอย่างไรรู้สึก..อย่างใจมันแค้น นี่ใจมันเปลี่ยน รูปมันก็เปลี่ยนได้ด้วย ใจสบาย หน้าตามันก็สบาย ใจมันร้ายหน้ามันก็ร้ายไปด้วย รูปมันก็เปลี่ยนไปตามจิตสั่งเหมือนกันนะ เราไม่ได้สั่งแต่จิตเป็นคนสั่ง คอยดูไปนะ ไม่มีตัวเราเลย กายนะมี..แต่จิตสั่ง..ดูไปนะ..วันนึ่งก็พ้นทุกข์ไป
********************
เคล็ดลับอานาปนสติ..ละเอียดในการปฎิบัติ(รู้) ฝึกเพื่อ...
1. "สมถะกรรมฐาน" ..ถ้าเราต้องการความสงบ เราหายใจออกสบายๆ หายใจเข้า สบายๆ แล้วก็รู้ลมหายใจอยู่ เราไม่ให้จิตหนีไปไหน รู้ที่ลมหายใจอย่างมีความสุข.. ฝีกไปเรื่อยๆ พอจิตสงบแล้ว ก็ไม่ต้องทำใจให้สงบอีก ทีนี้เราก็มาฝึกจิตให้ตั้งมั่น...
2. "วิธีฝึกจิตให้ตั้งมั่น" พลิกจากการฝึกจิตให้สงบนิดเดียว การฝึกให้จิตตั้งมั่นนี่เราไม่ไปเน้นที่การหายใจ เราไปเน้นที่จิต.. เช่น เราหายใจไปแล้วจิตหนีไปคิดเรารู้ทัน หายใจแล้วใจไปเพ่งลมหายใจเรารู้ทัน จิตตั้งมั่น นี่เกิดจากการที่จิตรู้ทัน จิตที่เป็นผู้หลง ผู้ไหลไป มันหลงไปมันไหลไปเรารู้ทันมัน แม้กระทั่งไหลไปอยู่กับลมหายใจ ก็รู้ทันนะ
ถ้าใจไหลไปแช่อยู่กับลมหายใจนิ่งๆอยู่นี่ใช้ไม่ได้เลย ต้องรู้ทันนะถึงจะใช้ได้ นี่รู้ทันว่าจิตเคลื่อน พอรู้ว่าจิตเคลื่อนจิตจะไม่เคลื่อนจิตจะตั้งมั่นขึ้นมาเป็นผู้รู้ผู้ดู พอได้จิตที่เป็นผู้รู้ผู้ดูแล้วนะ ก็ถึงขั้นเจริญปัญญาแล้ว จิตที่เป็นผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบานแล้วเนี่ย จะรู้สึกตัวขี้นมา งั้นบางคนบอกว่ารู้สึกตัวเฉยๆ ก็พอ ..ไม่พอนะ รู้สึกตัวแล้วเนี่ย จิตมีสมาธิที่ถูกต้องแล้วเท่านั้นเอง เมื่อรู้สึกตัวแล้วต้องเจริญปัญญา
3. "การเจริญปัญญา" ใช้จิตที่รู้สึกตัวแล้วเนี่ย ไปรู้ความเคลื่อนไหวของกาย ของใจ แต่ไม่ใช่ไปรู้ร่างกาย ไม่ใช่ไปรู้จิตใจนะ ถ้าไปรู้ร่างกาย เอาจิตไปรู้ลมหายใจเนี่ย กลายเป็นสมาธิอย่างแรก (สมถะกรรมฐาน) เราไม่ได้ไปรู้ร่างกาย ไม่ได้ไปรู้จิตใจนะ แต่เราไปรู้การเปลี่ยนแปลงของกายของใจคือดูความเป็นไตรลักษณ์
การวิปัสสนานั้น ไม่ใช่การเห็นรูปนาม เห็นกายเห็นใจ แต่วิปัสสนากรรมฐานเป็นการเห็นไตรลักษณ์ของกายของใจ..ถ้าเมื่อไหร่จิตเห็นรูปเห็นนาม เห็นกาย เห็นใจ นี่เป็นสมถะนะ ถ้าไปอยู่กับอารมณ์ความคิดก็เป็นสมถะ ไปอยู่กับอารมณ์นิพพานก็เป็นสมถะ ไปรู้อยู่ที่ท้อง รู้อยู่ที่เท้า รู้อยู่ที่มือก็เป็นสมถะ
วิปัสสนาเนี่ยต้องเห็นไตรลักษณ์ของรูปนาม งั้นเราจะใช้อารมณ์รูปนามเท่านั้นแหละมาทำวิปัสสนา จะไปใช้ความคิดไม่ได้ ใช้ความคิดไม่เป็นวิปัสสนา.. วิปัสสนาต้องเห็นความจริงของรูปของนาม
อย่างหลวงพ่อบอกให้ยิ้ม เอ้ายิ้มสิ นี่รู้สึกตัวขึ้นมา นี่เราเห็นร่างกายมันยิ้ม นี่เห็นร่างกายเปลี่ยนแปลงใช่ไหม ร่างกายเมื่อกี้มันเฉยๆ พอหลวงพ่อบอกให้ยิ้ม ร่างกายมันเริ่มคลี่ปากออกมา ยิ้มออกมา ใจเมื่อกี้เฉยๆ ตอนนี้ใจเริ่มคลี่ตัวออกมาคลายออกมา นี่เราเห็นความเคลื่อนไหว เราเห็นความเปลี่ยนแปลงของมัน นี่เริ่มเดินปัญญาล่ะ ไม่ได้ยากหรอกนะ แต่เราต้องรู้สภาวะให้ได้ รู้สภาวะของรูปธรรมที่กำลังปรากฎ รูปธรรมเนี่ยต้องกำลังปรากฎนะ ไม่ใช่เมื่อวานหายใจ วันนี้รู้..ใช้ไม่ได้
ต้องเห็นว่าร่างกายกำลังหายใจอยู่ นี่ร่างกายเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ร่างกายที่หายใจนี่มีแต่ธาตุไหลเข้าไป มีธาตุไหลออกมา ธาตุลม..หายใจเข้าไปนะ ธาตุลม..หายใจออกมา ร่างกายนี้เป็นแค่วัตถุธาตุไม่ใช่ตัวคน หรือใจเราเป็นคนดูร่างกายเนี่ยมันเคลื่อนไหวเงี่ย รู้สึกเลยมันเหมือนวัตถุเคลื่อนไหวมันไม่ใช่เราเคลื่อนไหว เห็นอย่างนี้นะถึงจะเป็นวิปัสสนา
หรือเห็นจิตใจ เดี๋ยวมีความสุขเกิดขึ้น เดี๋ยวความสุขก็หายไป เดี๊ยวความทุกข์เกิดขึ้นเดี๋ยวความทุกข์ก็หายไป เดี๊ยวกุศลเกิดขึ้น เดี๋ยวกุศลก็หายไป เดี๋ยวโลภ/โกรธ/ หลง/เกิดขึ้น.. โลภ/ โกรธ/ หลง/ หายไป อย่างนี้ถึงจะเป็นวิปัสสนา
ถ้าไปดูจิตแล้วไปเพ่งจิตอยู่เฉยๆ อันนี้คือการเพ่งจิตเป็นสมถะนะ แต่ถ้าเห็นจิตเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลง ถึงจะเป็นวิปัสสนา ไปดูกายจ้องอยู่เฉยๆที่กาย เป็นสมถะ ถ้าเห็นความเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ถึงจะเป็นวิปัสสนา เห็นอันใดอันหนึ่งไม่ต้องเห็นทั้งสามอัน อันเดียวก็พอ จิตเราจะไปมองมุมใดก็ช่างมัน
อนิจจัง คือ ความไม่เที่ยง หมายถึงว่า "สิ่งซึ่งเคยมีแล้วมันไม่มี" สิ่งมันมีอยู่แล้วมันไม่มีนี่เรียกว่าอนิจจัง
ทุกขัง หมายถึงอะไร ทุกขังหมายถึงว่า "สิ่งซึ่งกำลังมีอยู่เนี่ยกำลังถูกบีบคั้นให้มันไม่มี" อย่างอิริยาบถนั่งของเราเนี่ย กำลังถูกบีบคั้นให้ต้องเปลี่ยนอิริยาบถ ความทุกข์เนี่ยมันกำลังบีบคั้นทนอยู่ไม่ได้ต้องเปลี่ยนอิริยาบถ
อนัตตา หมายถึงว่า "สิ่งทั้งหลายทั้งปวงจะมีอยู่หรือจะไม่มีเนี่ย เราสั่งไม่ได้" เป็นไปตามเหตุไม่ใช่เป็นไปตามเราสั่ง
เห็นเพียงมุมใดมุมหนึ่งก็ได้นะ แต่เวลาเห็นเนี่ย ตามรู้ไปเรื่อยๆ เห็นมันเกิดดับไปเรื่อยๆ ตอนที่เห็นเกิดดับเนี่ย บางคนเห็นอนิจจัง บางคนเห็นทุกขัง บางคนเห็นอนัตตา นะ แค่รู้เกิดดับเนี่ย มันเป็นอนิจจังก็เพราะมันเกิดดับ มันเป็นทุกขังก็เพราะมันเกิดดับ มันเป็นอนัตตาก็เพราะมันเกิดดับ มันทนอยู่ไม่ได้หรอก มันไม่มีตัวตน มันไม่ถาวร เราเห็นสภาวะนี้เคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงเกิดดับๆๆ ไป เวลาปัญญาเกิดเนี่ยบางทีมันก็รู้อนิจจัง บางทีมันก็รู้ทุกขัง บางทีมันก็รู้อนัตตา แล้วอริยมรรคก็จะเกิด งั้นจะต้องเจริญปัญญา
เวลาที่รู้กาย ให้รู้ลงปัจจุบันเดี๋ยวนี้ มีคำว่ากำลังเกิดอยู่(now)
ถ้าดูจิตนะ ก็มีคำว่าแล้ว เช่น โกรธแล้ว โลภแล้ว หลงแล้ว ฟุ้งซ่านแล้ว สงบแล้ว ทำไมต้องมีแล้ว เราจะดูตามหลังมันติดๆ โกรธขึ้นมาก่อนแล้วรู้ว่าโกรธ ในขณะที่โกรธจะรู้ว่าโกรธเนี่ยเป็นไปไม่ได้ มันเป็นจิตคนละดวงกัน
จิตที่โกรธเป็นจิตอกุศลไม่มีสติงั้นมันจะมารู้ตัวของมันเองไม่ได้ งั้นจิตที่โกรธเกิดขึ้น เกิดจิตดวงใหม่มีสติรู้ว่าจิตตะกี้ที่พึ่งดับไปสดๆ ร้อนเนี่ยเป็นจิตโกรธ ก็จะเห็นเลยความโกรธเกิดแล้วดับต้องเห็นอย่างนี้ ไม่ใช่ดูนั่งจ้อง ดูสิเมื่อไหร่จะโกรธนั่งจ้อง กลายเป็นเพ่งจิตนะ กลายเป็นสมถะกรรมฐาน
งั้นปล่อยให้จิตทำงานไปตามธรรมชาติธรรมดา จิตจะเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ เมื่อตามองเห็น หูได้ยิน จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายกระทบสัมผัส เมื่อใจคิดนึก จะเกิดความเปลี่ยนแปลง จะเปลี่ยนเป็นอะไรบ้าง มันจะเปลี่ยนเป็นจิตที่สุขบ้าง จิตที่ทุกข์บ้าง จิตที่เฉยๆ บ้าง จิตที่ดีบ้าง จิตที่โลภบ้าง จิตที่โกรธบ้าง จิตที่หลงบ้าง จิตที่ฟุ้งซ่านบ้าง จิตที่หดหู่บ้าง จิตก็จะเปลี่ยนแปลง เราก็มีสติตามรู้ ตามดูไปเรื่อยนะ เราก็จะเห็นนะ มันโกรธแล้ว มันก็หายไป มันหลงแล้ว มันก็หายไป มันทุกข์แล้ว มันก็หายไป ดูไปเรื่อยๆ
สุดท้ายปัญญา มันเกิด เวลาที่ปัญญามันเกิด มันเกิดของมันเองเราสั่งให้มันเกิดไม่ได้ อย่างเราคอยรู้สึกอยู่ในร่างกายที่กำลังปรากฎ ร่างกายกำลังเคลื่อนไหว โกรธแล้วเงี่ย คนละอันกันนะคนละลักษณะ
ถ้ากายเนี่ยดูลงขณะนี้เลย ถ้าดูนามธรรมเนี่ย ดูตามหลังติดๆไปเรื่อยๆ เวลาที่ปัญญามันจะเกิดเนี่ย มันจะเกิดความรู้รวบยอดมันจะไม่เกิดว่า ร่างกายที่หายใจเข้าเกิดแล้วดับ ร่างกายที่หายใจออกเกิดแล้วดับ มันไม่ได้รู้ว่าความโกรธเกิดแล้วดับ ความโลภเกิดแล้วดับ ความหลงเกิดแล้วดับ แต่มันได้ความรู้รวบยอดว่า สิ่งใดเกิดสิ่งนั้นดับคือมันรู้ภาพรวมทั้งหมด การที่เราเรียนจุดย่อยๆ ย่อยๆ ไปทีละจุดทีละจุด ถึงจุดหนึ่งมันจะเกิดความรู้รวบยอด ความเข้าใจทั้งหมดจะเกิดขึ้น สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นเป็นธรรมดาสิ่งนั้นดับเป็นธรรมดา เมื่ออริยมรรคเกิดขึ้นแล้วนะ ใจของเราจะมีความมั่นคง
เรารู้แล้วว่า..พระพุทธเจ้ามีจริงๆ พระธรรมเจ้ามีจริงๆ พระอริยสงฆ์เจ้ามีจริงๆ พระนิพพานมีจริงๆ เรารู้แล้วว่านิพพานเป็นอย่างไร นิพพานคือสภาวะที่สิ้นตัณหา เรียกว่า วิราคะ นิพพานคือสภาวะที่สิ้นความปรุงแต่ง เรียกว่าวิสังขาร นิพพานเป็นสภาวะที่สิ้นอาสวะกิเลสทั้งหลาย สิ้นจากรูปนามทั้งหลาย เรียกว่าวิมุตติ สภาวะอันนี้มีอยู่แล้วก็อยู่ต่อหน้าต่อตาเรา ไม่ได้อยู่ที่อื่นเลยอยู่ในใจเรานี้เอง ทีนี้เราไม่เห็นเพราะว่าถูกกิเลสครอบงำ ถูกกิเลสตัณหาบังเอาไว้ ถ้าเมื่อไหร่เราชำระล้าง กิเลสตัณหาได้หมดจดนะ พระนิพพานก็ปรากฎต่อหน้าต่อตานี้เองแล้วเราจะมีความรู้สึกมั่นคงเกิดขึ้น เรารู้แล้วว่าเราเกิดขึ้นมาเพื่ออะไร เรารู้ว่าเราเดินทางไปสู่บ้านที่แท้จริงของเรา พ่อแม่พี่น้องของเราอยู่ที่นั่น เรากำลังตามพ่อของเราไปคือตามพระพุทธเจ้าไป ไปสู่บ้านที่แท้จริงที่สงบสุข ที่ร่มเย็น ที่เป็นอมตะ ใจจะมีความอิ่มเอิบขึ้นมานะ เวลาความทุกข์ในโลกเกิดขึ้นมานะ ชีวิตย่ำแย่เราจะไม่ย่ำแย่ยับเยินนะ ถ้าเป็นปุถุชนเราจะทุกข์สาหัส ถ้าเป็นโสดาบันนะ ก็จะรู้สึกแค่ นี่นะเป็นของชั่วคราว จะไม่ทุกข์ถึงขนาดทนไม่ไหวหรอกนะเพราะรู้ว่านี่ของชั่วคราวเดี๊ยวก็หายไป พ้นไปแล้ว เดี๊ยวก็เจอของดีกว่านี้ใจจะมีกำลังน่ะ
เราตั้งอกตั้งใจปฎิบัติ...ทำทานถือศีล ฝึกสมาธิ เจริญสติไป แล้วคอยรู้กายอย่างที่กายเป็น รู้ใจอย่างที่ใจเป็นจะเห็นไตรลักษณ์ของกายของใจเรื่อยๆ ไป ถือศีลไว้แบ่งเวลาไว้ทำในรูปแบบ แล้วเวลาที่เหลือเจริญสติในชีวิตประจำวันๆ ก็คือ มีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ พอกระทบอารมณ์ไม่ห้าม พอกระทบแล้วนะ ร่างกายเป็นอย่างไรรู้สึก จิตใจเป็นอย่างไรรู้สึก..อย่างใจมันแค้น นี่ใจมันเปลี่ยน รูปมันก็เปลี่ยนได้ด้วย ใจสบาย หน้าตามันก็สบาย ใจมันร้ายหน้ามันก็ร้ายไปด้วย รูปมันก็เปลี่ยนไปตามจิตสั่งเหมือนกันนะ เราไม่ได้สั่งแต่จิตเป็นคนสั่ง คอยดูไปนะ ไม่มีตัวเราเลย กายนะมีแต่จิตสั่ง ดูไปนะวันนึ่งก็พ้นทุกข์ไป
จาก ซีดี สวนสันติธรรมแผ่น ๖๑ 13 ก.ย. 58
********************
สมาธิที่ดี สองชนิด..สมาธิที่ดีมีสองอย่าง
สมาธิชนิดหนึ่ง..เอาไว้พักผ่อน น้อมจิตสบายๆนะ ไปอยู่กับอารมณ์ที่มีความสุข แล้วจิตก็สงบ
สมาธิอีกชนิดหนึ่ง.. มีจิตตั้งมั่น (เอาไว้เดินปัญญารู้ธรรม=ผู้ถอดคำ) สมาธิอย่างนี้สำคัญมาก จะขึ้นวิปัสสนาได้ต้องมีสมาธิชนิดจิตตั้งมั่น สมาธิอย่างนี้เรียกว่า"ลักขนูปณิชฌาน" ส่วนสมาธิที่จิตสงบอยู่ในอารมณ์อันเดียว เรียกว่า " อารัมณูปนิชฌาน " อารัมมะ ก็คืออารมณ์นั้นเอง สิ่งเหล่านี้ต้องเรียน ถ้าเราไม่แตกฉานในเรื่องของสมาธิ เราจะเอาอะไรไปเจริญปัญญา เราเอาจิตที่ไม่มีคุณภาพไปเจริญปัญญา จิตติดเพ่ง จิตฟุ้งซ่าน.. เจริญปัญญาไม่ได้ ไม่ใช่จิตที่เป็นผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบาน
นี่คือสิ่งที่หลวงพ่อพากเพียรสอนมานานนะ
"เราจำเป็นต้องเรียนเรื่องจิตสิกขา(ฝึกฝนปฎิบัต."รู้"=ผู้ถอดคำ)ให้ชำนิชำนาญ จนเราสามารถแยกได้ว่าจิตขณะนี้มันเป็นจิตชนิดใด"..ถ้าจิตขณะนี้..เป็น..จิตที่ไม่มีคุณภาพ ทำสมถะก็ไม่ได้ ทำวิปัสสนาก็ไม่ได้ มีแต่สมาธิออกนอกนะ เป็นมิจฉาสมาธิ.. สมาธิอย่างนี้เอาไว้ทำงานทางโลก ฟุ้งๆไป จินตนาการไป บางพวกก็แต่งโน่นแต่งนี่ไป เคลิบเคลิ้มลืมเนื้อลืมตัว เอาไปภาวนาไม่ได้"
อารัมณูปนิชฌาน กับ ลักขนูปณิชฌาน
ลักขนูปณิชฌาน คือสมาธิที่จิตตั้งมั่นเห็นลักษณะความเปลี่ยนแปลง (ไม่ใช่เห็นกายเห็นใจนะ แต่เห็นความเปลี่ยนแปลงของกายใจ จิตจะเห็นไตรลักษณ์ได้)
อารัมณูปนิชฌาน คือจิตสงบอยู่ในอารมณ์อันเดียว อารัมมะ คืออารมณ์
ถ้าทำให้ได้สองชนิดดีที่สุด ถ้าทำไม่ได้นะ ต้องได้ลักขนูปณิชฌาน ..ถ้าได้แต่อารัมณูปนิชฌานชาตินี้ไม่บรรลุมรรคผลหรอกตัวที่เราใช้เดินปัญญาจนบรรลุมรรคผล คือลักขนูปณิชฌาน แต่พอเดินปัญญาไปพอเหนื่อย กลับมาทำอารัมณูปนิชฌาน ให้จิตสงบในอารมณ์ที่มีความสุข จิตมีความสุขมีเรี่ยวแรงขึ้นมาใหม่ แล้วไปเดินปัญญาต่อนะ
จะปรับจิตขึ้นมาให้เป็นลักขนูปณิชฌาน เดินปัญญา งั้นเราใช้กรรมฐานที่เนื่องด้วยกายด้วยใจแล้วจะดีที่สุดนะ เห็นร่างกายหายใจ เห็นร่างกายยืนเดินนั่งนอน ถ้าเรารู้ร่างกายหายใจด้วยใจ ที่มีความสุขใจก็สงบ ถ้าเราเห็นร่างกายหายใจแล้วเรารู้ว่าใจหนีไป หรือใจไหลไปอยู่ที่ลมหายใจ เรารู้ว่าใจไหลไป จะได้ลักขนูปณิชฌาน ได้สมาธิที่จิตตั้งมั่น ตรงที่จิตตั้งมั่นเราจะรู้ได้เลยว่าตื่นอย่างแท้จริงขึ้นมาแล้ว ส่วนจิตที่ไปหลับ จม..อยู่ในอารมณ์นั้นมันเพลินสบาย งั้นตรงที่ใจมันตื่นขึ้นมาเนี่ยสำคัญ หลวงพ่อไม่แนะนำกรรมฐานที่เกินกายออกไป
กรรมฐานที่เกี่ยวเนื่องกับกายกับใจเนี่ยต่อยอดง่าย
อย่างเรารู้ลมหายใจ ใจสงบอยู่ที่ลมหายใจได้สมาธิชนิด..อารัมณูปนิชฌาน ใจสงบอยู่ในอารมณ์เดียว แต่ถ้าจิตเห็นร่างกายหายใจแล้วใจหนีไปคิดรู้ทัน หนีไปอยู่ที่ลมหายใจรู้ทัน อย่างนี้จะได้ลักขนูปณิชฌาน เพราะรู้ทันว่าใจไหล ใจจะตั้งมั่น.. เดินจงกรมถ้าใจสงบอยู่กับร่างกายที่เดินอย่างนี้เป็นอารัมณูปนิชฌาน ดูท้องพองยุบดูด้วยใจที่สบายได้อารัมณูปนิชฌาน แต่ถ้าเดินจงกรมหรือดูท้องพองยุบนะ แล้วเห็นจิตเคลื่อนเคลื่อนไปคิดรู้ทัน เคลื่อนไปอยู่ที่เท้ารู้ทันเคลื่อนไปอยู่ที่ท้องนี้รู้ทัน
ตรงที่รู้ทันจิตที่เคลื่อน จะได้จิตที่ตั้งมั่น จิตที่ตั้งมั่นมันตรงข้ามกับจิตที่เคลื่อนเมื่อไร่จิตเคลื่อนแล้วเรามีสติรู้ทันนะจิตจะตั้งมั่นอัตโนมัติ (คือมีสมาธิจิตตั้งมั่นนั่นเอง) พอจิตตั้งมั่นแล้วเนี่ยเราต่อยอดได้เลยอย่างเราเดินจงกรมเนี่ยเห็นร่างกายเดินใจเป็นคนดู ร่างกายกับจิตใจนี้คนละอันกัน เห็นร่างกายพองร่างกายยุบ อย่าไปดูท้องนะถ้าดูท้องพองจิตเพ่งไปที่ท้องเมื่อไหร่ เป็นอารัมณูปนิชฌานแล้ว
เห็นร่างกายหายใจ รู้ร่างกายพองร่างกายยุบก็ได้ หรือจะรู้ร่างกายยืนเดินนั่งนอนก็ได้ ใจเป็นแค่คนดูอยู่เฉยๆ เห็นว่ากายกับใจเป็นคนละอันกัน พอกายกับใจแยกกันได้นะ ปัญญามันจะเริ่มมองเห็นได้แล้ว ว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ตัวเรา มันจะเกิดความรู้ชัดขึ้นในใจเวลารู้เนี่ย รู้แวบเดียว ไม่รู้ยาวๆ แบบบรรยายได้นะ เวลาที่จิตจะรู้เนี่ยรู้แวบเดียวเท่านั้นแหละ มันจะรู้สึกขึ้นมาว่า เฮ้ย! นี่ไม่ใช่ตัวเราแล้ว รู้สึกร่างกายไม่ใช่ตัวเรา
แล้วต่อไปก็หัดดูไปเรื่อย ความรู้สึกนึกคิดทั้งหลายก็ไม่ใช่ตัวเรา กระทั่งจิตใจที่เป็นผู้รู้ผู้ดูนะ เดี๋ยวก็เป็นผู้ รู้เดี๋ยวก็เป็นผู้คิด เดี๋ยวก็เป็นผู้รู้ เดี๋ยวก็เป็นผู้เพ่ง ไม่ใช่ตัวเราเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาได้เอง
ทีนี้บางคนไม่ถนัดดูกายก็มาดูจิตเอานะ ก็อาจจะมาพุทโธบริกรรมไปก็ได้ พุทโธไม่ใช่ให้จิตไปอยู่ที่พุทโธ.. พุทโธแล้วคอยรู้ทันจิต(เอาคำพุทโธเป็นเครื่องอยู่ให้จิต=ผู้ถอดคำ) พุทโธๆๆไป จิตสงบก็รู้ พุทโธไปจิตฟุ้งซ่านก็รู้ รู้เล่นๆ พุทโธไปจิตฟุ้งซ่านกับจิตหนีไปคิด รู้ทัน รู้ว่าจิตหนีไปคิดเรื่องอื่นแล้วลืมพุทโธ ตรงที่รู้ทันว่าจิตไหลไปคิดนั้น จิตมีลักษณะที่เรียกว่าลักขนูปณิชฌาน ก็จะเกิดขึ้นเหมือนกัน เพราะว่ารู้ทันว่าจิตไหล งั้นถ้าเราหัดพุทโธนะ..เราจะใช้จิตเป็นวิหารธรรม พุทโธเป็นแค่เหยื่อล่อเท่านั้นเพื่อจะดูจิต ไม่ใช่ใช้พุทโธเป็นวิหารธรรมนะ พุทโธไม่มีอยู่ในสติปัฏฐาน ๔ ที่พระพุทธเจ้าให้ กาย เวทนา จิต ธรรม เป็นวิหารธรรมไม่มีพุทโธ ไม่มีพุทโธไม่มีสัมมาอรหัง แต่เราใช้จิตเป็นวิหารธรรม
เราพุทโธขึ้นมาเพื่อเป็นเครื่องสังเกตจิตเท่านั้น พุทโธๆ จิตหนีไปคิด ดูง่ายหน่อย ถ้าไม่มีพุทโธเป็นเครื่องสังเกตเลย(จิต) หนีนาน งั้นถ้าเราจะใช้พุทโธนะก็ใช้ "จิต"เป็นวิหารธรรม ถ้าเราจะใช้ลมหายใจ ใช้ท้อง ใช้มือ ใช้เท้าใช้ "กาย" เป็นวิหารธรรมนะ มีวิหารธรรมแล้วรู้ทันจิต รู้กายแล้วรู้ทันจิต พุทโธไปแล้วรู้ทันจิต อย่างนี้ใช้ได้ แล้วถึงจะได้สมาธิที่จิตตั้งมั่น
ถ้าจิตตั้งมั่นแล้วนะ ถ้าเราใช้พุทโธเราต่อยอดยังไง บางท่านกลับมาดูกายก็มี เราจะต่อยอดเข้าถึงจิตเลยก็ได้เราพุทโธไปจิตสงบก็รู้ จิตฟุ้งซ่านก็รู้ จิตดีก็รู้ จิตชั่วก็รู้ แล้วเห็นว่าจิตสงบ จิตฟุ้งซ่าน จิตดี จิตชั่ว " เกิดแล้วดับทั้งสิ้น" นี่คือต่อยอดเข้าวิปัสสนาแล้วนะ ง่ายๆเลย งั้นสมาธิทำให้ถูกนะ แล้วมันจะต่อยอดขึ้นปัญญา แต่ถ้าทำสมาธิออกนอกมันจะขึ้นปัญญายาก มันต้องน้อมจิตเข้ามาที่ตัวเองอีก
สวนสันติธรรม CDแผ่น ๖๑
หลวงพ่อปราโมทย์