Recent Posts

นั่งอยู่บนภูดูเฉยๆ


          ในการปฏิบัติการจริงๆ นักปฏิบัติต้องมีอุบายในการนำธรรมะต่างๆมาเชื่อมโยงกัน จึงจะก้าวหน้าในการปฏิบัติ แต่ต้องยึดหลักไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่มีตัวตน เป็นหลัก ธรรมะอื่นนำมาเสริม นำมาเชื่อม เพื่อช่วยให้เห้น ความไม่เที่ยง เป้นทุกข์ ไม่มีตัวตนเร็วขึ้นชัดขึ้น

          การถอนความเห็นว่ามีจิตคือการพิจารณาอนัตตา เราต้องนำอุบายเปรียบจิตคือคลื่น คลื่นคือจิตมาใช้บ่อย ๆ ทำเหมือนเราเป็นผู้ดูกระแสธรรมชาติ อยู่บนที่สูง นั่งดูคลื่นในทะเล ดูโดยไม่มีผู้ดู เห็นโดยไม่มีผู้เห็น ดูขันธ์ห้ากับผัสสะมันถึงกันเกี่ยวเนื่องกัน เกิดการกระเพื่อม ทำไว้ในใจว่าขันธ์ห้ามันกระเพื่อม ไม่ใช่จิต ปฏิกิริยาใดเกิดขึ้นล้วนเป็นการกระเพื่อมของขันธ์ห้า มองให้เห็นเหมือนการกระเพื่อมของน้ำ เมื่อถูกลม ขันธ์ห้าก็กระเพื่อมแบบเดียวกัน น้ำกระเพื่อมเราเห็นเป็นคลื่น ขันธ์ห้ากระเพื่อมเป็นสิ่งไรๆเราจงเห็นมันเป็นเหมือนคลื่น พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าขันธ์ห้าคือตัวทุกข์ ฉะนั้นข้อเท็จจริงที่กระเพื่อมอยู่คือตัวทุกข์กระเพื่อม เราก็พิจารณาว่าตัวทุกข์กระเพื่อม ตรงนี้ต้องเข้าใจเลยว่าไม่ว่าจะเกิดสิ่งไร ๆ ขึ้นกับชีวิตล้วนเป็นการกระเพื่อมของตัวทุกข์ทั้งสิ้น

          เราคิดว่าตัวทุกข์กระเพื่อมทำให้เราทิ้งจิตไปเลย เพราะเราคิดว่ามีจิต จิตมันกระเพื่อม เหมือนเราคิดว่ามีคลื่น คลื่นมันไม่มี จิตก็ไม่มี ที่มีคือน้ำกระเพื่อม และตัวทุกข์หรือขันธ์ห้ามันกระเพื่อม

          การกระเพื่อมของตัวทุกข์มันซับซ้อนจนเรามองไม่ออกเราเลยคิดว่ามีจิตเห็นการกระเพื่อมนั้นคือจิต มีสิ่งไร ๆ ขึ้นมาจึงเห็นเป็นตัวตนของจิตรู้เห็น อ่านเขียน ไม่เห็นว่านี่คือการกระเพื่อมของขันธ์ห้าหรือการกระเพื่อมของตัวไม่เที่ยง ตัวทุกข์ เราคิดว่าจิตทำทั้งหมดทั้งสิ้น

          ดังนั้นจงทิ้งความรู้สึกว่ามีจิตทิ้งไปเลย มองดูอยู่บนที่สูง มองให้เห็นแค่ผัสสะกระทบตัวทุกข์ แล้วตัวทุกข์กระเพื่อม เป็นรักโลภโกรธหลง จดจำ หรือทำสิ่งไร ไม่มีกายมีจิตทำ ไม่มีใครทำ มีแต่ตัวทุกข์มันกระเพื่อม เหมือนน้ำกระเพื่อม เป็นคลื่น ตัวทุกข์มันก็กระเพื่อมเป็นกิริยาอาการต่างๆ ขบวนการทั้งหมดคือคลื่นของตัวทุกข์ การขยับตัวของตัวทุกข์ ไม่มีตัวตนคนสัตว์ ไม่มีผู้ดู ผู้เห็น ผู้พิจารณา มีแต่การดู การรู้การเห็น โดยไม่มีตัวตน

          ขันธ์ห้าหรือตัวทุกข์มันทำอะไรได้สารพัด หน้าที่มันคือทำให้คนหลงผิดไม่รู้ความจริงเป็นทุกข์ ตัวทุกข์มันมีหน้าที่เท่านี้ ฉะนั้นอย่าไปหลงกลมัน อย่าเชื่อมัน มันแสดงอิทธิฤทธิ์อะไรออกมา ก็เฉยๆไว้ คิดในใจ มันแค่ลูกคลื่นไม่ใช่ของจริง ของจริงไม่มี ไม่ว่าความเชื่อความรู้ความดีความเลวคนสัตว์ บทเรียนหนังสือทีวีตู้เย็น แม้แต่ธรรมะของพระพุทธเจ้า ถ้าตัวทุกข์ปรุงขึ้นมาอย่าไปยึดถือเด็ดขาด ปล่อยมันไปตามเหตุตามปัจจัย อย่าไปคิดว่านั่นคือสิ่งที่มี ฉันมีฉันเป็นฉันรู้ ทำแบบนั้นทุกข์ทันทีผิดทันที ดูเฉยๆแต่รู้ว่ามันแค่การกระเพื่อมของตัวทุกข์ ตัวทุกข์มันสร้างขึ้นมาเพื่อหลอกให้เราชอบ หลอกให้เราหลงตัวเอง อย่าเชื่อมัน อย่าเชื่อตัวทุกข์เด็ดขาด มันบอกอะไร มันคิดอะไรก็อย่าเชื่อมัน ทำได้แค่นี้ นิพพานไม่ไปไหนหรอก มันอยู่ใกล้ตัวเข้ามาทุกๆขณะ เดี๋ยวเจอมันเอง

[ขยายความ] ขันธ์ห้าคือน้ำ ผัสสะคือลม จิตคือคลื่น

          ธรรมชาติมีกฏเกณฑ์ กฏเกณฑ์ของธรรมชาติเราสัมผัสได้ทุกหนทุกแห่ง เว้นแต่ว่าเราละเอียดพอที่จะสังเกตเห็นหรือไม่ ตัวอย่างเช่น ปฏิกิริยาของน้ำ ลม และคลื่น ไม่ต่างอะไรกับปฏิกิริยาของ กองธาตุทั้งห้า ผัสสะ และจิต ไม่ต่างอะไรกันเลย

          น้ำก็เปรียบเหมือนกองธาตุทั้งห้าเป็นการประกอบพร้อมเข้าด้วยกันของธรรมทั้งหลายเหมือนกัน ลมก็เปรียบเหมือนผัสสะ ลมมากระทบน้ำ ผัสสะมากระทบ กองธาตุ เป็นปฏิกิริยาที่เหมือนๆกัน ลมมากระทบน้ำเกิดเป็นเกลียวคลื่น ผัสสะมากระทบกองธาตเกิดเป็นเกลียวจิต คลื่นเป็นสิ่งที่ไม่มีตัวตนอยู่จริง ที่มีคือน้ำกับลม จิตก็เช่นกัน จิตเป็นสิ่งที่ไม่มีตัวตนอยู่จริง ที่มีคือกองธาตุกับผัสสะ

          ดังนั้นยามว่างจากภาระเราควรมาฝึกทำความเห็นให้ตรงตามความเป็นจริงโดยใช้ธรรมชาติรอบตัวเป็นเครื่องมือทดลอง เมื่อลมกระทบน้ำ น้ำก็ยกตัวขึ้นสูง เราเรียกว่าเกิดคลื่น แต่จริงๆ คลื่นมิได้มีเลย มีแต่กิริยาของน้ำที่ยกตัวขึ้น พอลมสงบมันก็เป็นน้ำเหมือนเดิม มีลมมันก็ยกตัวอีก ธรรมชาติมันเป็นเช่นนั้น น้ำมีลมมีแต่คลื่นไม่มี มีแต่น้ำที่เท่านั้นที่คลื่นที่ ฉันใดก็ฉันนั้น เมื่อผัสสะกระทบกองธาตุ กองธาตุก็เคลื่อนตัวตามแรงกระทบของผัสสะเราเรียกว่าจิต แต่จริงๆจิตไม่มี มีแต่ปฏิกิริยาของกองธาตุที่ขยับตัว พอผัสสะสงบ กองธาตุก็สงบ มีผัสสะมันก็ขยับตัวอีก เราก็คิดว่ามีจิตอีก ที่จริงจิตไม่มี มีแต่กองธาตุมันขยับตัวตามแรงกระทบของผัสสะ

          ดังนั้นถ้าเราเปลี่ยนสมมติเสียใหม่มาเป็น กองธาตุคือน้ำ ผัสสะคือลม จิตคือคลื่น จะทำให้เราเข้าใจธรรมชาติของจิตดีขึ้น เมื่อผัสสะลือลม มากระทบกองธาตุหรือน้ำ กองธาตุหรือน้ำก็ยกตัวขึ้นเราเรียกการยกตัวว่าคลื่นหรือจิตนั่นเอง คลื่นไม่มีตัวตนเรารู้สึกได้เห้นชัดได้ จิตก็ไม่มีตัวตนเหมือนกัน จงทำความรู้ความเข้าใจให้ได้แบบนั้น จิตคือคลื่น มันไม่มีตัวตนอะไรที่ไหน เราสมมติขึ้นมาเอง แล้วหลงสมมติ พอสมมติสิ่งไรคิดว่าสิ่งนั้นมีตัวตนทันที ดังนั้นเพื่อให้เกิดวิปัสสนาญาณ เรามาเรียกจิตของเราใหม่ในตอนพิจารณาว่าคลื่น นึกถึงจิตให้นึกถึงคลื่น คลื่นไม่มีตัวตนฉันใด จิตก็ไม่มีตัวตนฉันนั้น

          สรุปแล้วจริงแท้ จิตไม่มีตัวตน ที่มีคือ กองธาตุกับผัสสะ กองธาตุกับผัสสะก็ไม่มีตัวตนอีก เป็นเพียงการประกอบพร้อมเข้าด้วยกันของธาตุทั้งหลาย เพื่อความเข้าใจแจ่มแจ้ง เรานึกถึงจิตให้นึกถึงคลื่น นึกถึงกองขันธ์ให้นึกถึงน้ำ นึกถึงผัสสะให้นึกถึงลม คลื่นหรือจิตคือสิ่งเดียวกัน คลื่นไม่มีฉันใด จิตก็ไม่มีฉันนั้น

เจริญธรรม...สมสุโขภิกขุ