ความเป็น"พระอริยบุคคล" มีได้ โดยศึกษาจากจิตใจโดยตรง
"การเป็นพระอริยบุคคลนั้น มีทางลัดสั้นที่สุด โดยการศึกษาจากจิตใจโดยตรง ให้เห็นความ "ไม่น่าเอา ไม่น่าเป็น" ของสิ่งที่คนโง่คนหลงว่า "น่าเอา น่าเป็น" เพียงเท่านี้เท่านั้น ก็เป็นอันว่าเรื่องทั้งหมดได้ตั้งต้นอย่างดี อย่างครบถ้วน และเป็นที่แน่นอน.
เพียงแต่รักษาความรู้สึก ที่รู้สึกว่า "สิ่งทั้งปวงไม่น่าเอา ไม่น่าเป็น" นั้นไว้ให้ยังคงมีอยู่อย่างแน่นแฟ้น และยืดยาวชั่วระยะเวลาสักระยะหนึ่งเท่านั้น
ในระยะนั้นสิ่งต่างๆจะปรับปรุงตัวมันเอง พฤติกรรมในทางจิต จะเป็นไปแต่ในทางที่จะทำลายกิเลส และทำให้กิเลสหมดไปในที่สุด เรื่องมีอยู่สั้นๆเพียงเท่านั้น พูดได้จบภายใน ๒-๓ นาที และเป็นเรื่องทั้งหมดในพระพุทธศาสนา
เพราะฉะนั้น ถ้าต้องการทางลัดก็อย่าไปหวังพึ่งหนังสือนัก ถ้าจะอ่านหนังสือก็รู้จักเก็บเอาออกมา ให้เห็นเนื้อหาสาระที่จะประกอบคำอธิบายให้เกิดความรู้สึกว่า "สิ่งทั้งหลายไม่น่าเอา ไม่น่าเป็น"
เมื่อได้เพียงเท่านี้แล้ว จะขว้างหนังสือทิ้งเสียก็ได้ โดยการที่รักษาความรู้สึกว่า "สิ่งทั้งหลายไม่น่าเอา ไม่น่าเป็น" นี้ไว้อย่างแน่นแฟ้น หรืออย่างเหมาะสม คืออย่างที่มันจะงอกงามเจริญได้ยิ่งๆขึ้นไปนั่นเอง
การตั้งต้นกันด้วย "สัมมาทิฏฐิ" อย่างแท้จริงและสูงสุดเช่นนี้ เป็นการตั้งต้นที่แน่นอนแน่นแฟ้นมั่นคง และจะดึงเอามาซึ่งคุณธรรมอื่นๆ หรือในระดับอื่นให้มาเกิดขึ้น และให้เจริญงอกงามต่อไปได้โดยอัตโนมัติในตัวความรู้สึกนั่นเอง เราจึงมีความอุ่นใจในข้อที่ว่า มีวิธีลัดที่เหมาะสมสำหรับคนทุกคน แม้แต่คนที่ไม่รู้หนังสือ
พระพุทธเจ้าก็ได้ตรัสไว้อย่างนี้ ข้อเท็จจริงต่างๆทั้งหมดในพระคัมภีร์ ก็แสดงไปในลักษณะอย่างนี้. แต่เหตุไฉนคนเราจึงไปติดแน่นในหนังสือ แล้วขยายปริมาณของหนังสือออกมากไปทุกที จนกลายเป็นวงล้อมกักขังตัวเอง เลยกลายเป็นคุกหรือเป็นตะราง ซึ่งขังคนประเภทนี้ไป ไม่ให้ออกไปได้ เลยไม่มีหนทางที่จะก้าวหน้าไปตามทางของพระนิพพาน เพราะถูกขังคุกของหนังสือ ของตำรา ของคัมภีร์ ของทิฏฐิ ความคิดความเห็น ของเกียรติยศชื่อเสียง อันจะได้มาจากสิ่งเหล่านั้นเสียอย่างแน่นหนา
พุทธทาสภิกขุ