**
ปัญญา ก็คือ
เห็นความจริงจนถึงจุดที่เป็นกลางแล้ว เป็นกลางด้วยปัญญาแล้ว นี่เรียกว่าปัญญามากพอ แล้วจิตจะรวม จิตมันเป็นกลางต่อสังขาร ต่อความปรุงแต่งทั้งหลายทั้งปวงแล้ว งั้นมันจะไม่ดิ้นรน มันจะไม่เที่ยวแสวงหา อารมณ์ที่เพลิดเพลินพอใจภายนอกแล้ว มันจะไม่วิ่งไปหารูป ไม่วิ่งไปหาเสียง ไม่วิ่งไปหากลิ่น ไม่วิ่งไปหารส ไม่วิ่งไปหาสัมผัสทางร่างกาย นี้ใจของเรามันจะวิ่งตลอด ใช่มั้ย ? เดี๋ยวก็วิ่งไปดู วิ่งไปฟัง วิ่งไปคิด วิ่งตลอดเวลา
อันนั้น
จิตที่มีปัญญาแก่รอบแล้วเนี่ย มันไม่แส่ส่ายแล้ว มันเป็นกลาง ถ้าสุข กับทุกข์ มันเท่าเทียมกันแล้ว เรื่องอะไรจะต้องวิ่งไปดูอะไรให้พอใจ วิ่งไปดูให้เหน็ดเหนื่อย ดูแล้วมีความสุข ความสุขก็ไม่เที่ยง เรื่องอะไรต้องวิ่งไปฟังให้เหน็ดเหนื่อยนะ ฟังมา มีความสุข ความสุขก็ไม่เที่ยง
เนี่ยมันจะเห็นเลยว่า ป่วยการที่จิตใจจะดิ้นรน ไปทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ป่วยการที่จะดิ้นรนไปแสวงหาความสุขทางนั้น เพราะความสุขไม่เที่ยง ป่วยการที่จะต้องหนีความทุกข์ ที่เกิดจากการกระทบอารมณ์ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย อย่างเราเห็นคนที่เราเกลียดเนี่ย เราไม่จำเป็นต้องวิ่งหนี เรารู้ทันใจที่เกลียด ใจก็เป็นกลาง ไม่ต้องหนีเค้าแล้ว เราไม่ได้เกลียดเค้าแล้ว
เนี่ยถ้าเราภาวนาไปเรื่อยนะ จิตมันจะเป็นกลางขึ้นมา แล้วมันมีปัญญานะ แล้วมันจะไม่แส่ส่าย มันจะไม่วิ่งพล่านๆ ไปหารูป หาเสียง หากลิ่น หารส หาสัมผัสทางกาย
เมื่อจิตมันไม่หลงใน(กามคุณ)อารมณ์ทั้ง ๕ คือ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสทางกายแล้วเนี่ย เรียกว่ามันไม่หลงในกาม ไม่หลงในกามคุณอารมณ์ ตัวรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสทางกาย เรียกว่า กามคุณอารมณ์ เป็นอารมณ์ที่ยั่วกาม
เนี่ยพอจิตใจมันรู้สึกว่า รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสนะ หาสาระไม่ได้เลย อุตส่าห์วิ่งไปหามัน มีความสุขแป๊บเดียวก็หายไปแล้ว อุตส่าห์วิ่งหนีมัน มีความทุกข์อยู่เกิดขึ้นนะ อยู่แป๊บเดียวความทุกข์ก็หาย ไม่เห็นจะต้องหนีเลย เนี่ยใจก็หมดความแส่ส่าย ออกทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจก็รวมเข้ามาที่ใจ
.
เพราะฉะนั้น สมาธิในระดับฌานเนี่ย จะเกิดเองเพราะจิตเนี่ยไม่เอากามคุณอารมณ์ จิตไม่แส่ส่ายออกไปทางตา หู จมูก ลิ้น กาย แล้วจิตจะรวมเข้าที่จิตดวงเดียว
เมื่อจิตรวมเข้ามาแล้วเนี่ย ถ้าบารมีเราพอนะ จิตไปเดินปัญญาในฌาน ตรงนี้มันเกิดเองนะ ถึงเราไม่เคยเข้าฌานมาก่อนในชีวิตเนี่ย ถ้าเราเจริญวิปัสสนา เรียนรู้ความจริงของจิตใจเราไปเรื่อยๆ เห็นสุข เห็นทุกข์ เกิดดับไปเรื่อยๆ ถึงจุดนึงจิตมันเข้าฌานเอง เพราะมันไม่หลงไปในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในสัมผัสทางกาย จิตจะรวมเข้าที่จิตดวงเดียว
แล้วถ้าบุญบารมีพอนะ เราเจริญปัญญามามากพอแล้วเนี่ย
จิตจะไปเดินปัญญาในขั้นสุดท้ายในฌาน ขั้นสุดท้ายจะไปเดินปัญญาในฌานนะ สองสามขณะเท่านั้นเองไหลวั๊บดับ วั๊บดับ
เราไม่รู้ว่าอะไรเกิด ไม่รู้ว่าอะไรดับ รู้แค่ว่า สิ่งบางสิ่งเกิดขึ้น สิ่งบางสิ่งนั้นดับไปเป็นธรรมดา เราจะไม่รู้หรอกว่า นี่คือความโลภเกิด นี่ความหลงเกิด นี่ความโกรธเกิด นี่ความสุขเกิด นี่ความทุกข์เกิด มันจะไม่แปลออกมาอย่างนั้นเลย
มันจะรู้สึกแค่ว่า มีอะไรบางอย่างไหวๆ ขึ้นในจิตแล้วก็ดับ ไหวๆขึ้นในจิตแล้วก็ดับ จะเห็นสองสามขณะ ถ้าปัญญาของเราแก่กล้า เราจะเห็นสองครั้งเท่านั้น ถ้าปัญญายังไม่แก่กล้าจะเห็นสามครั้ง ถึงจะเกิดความเข้าใจ
ถ้าปัญญาเราแก่กล้าแล้วเนี่ย เห็นสองครั้ง เกิดความเข้าใจแล้ว พอเกิดความเข้าใจแล้วจิตจะวางสังขาร อันนี้เป็นสังขารละเอียด เป็นความปรุงของจิตในขั้นละเอียด แค่เห็นว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้น สิ่งนั้นดับเป็นธรรมดานะ เราไม่รู้ว่ามันคืออะไร มันคือ something เท่านั้น สิ่งบางสิ่ง ไม่รู้ว่าคือสุข หรือทุกข์ ดี หรือชั่ว
ไม่รู้ว่าอะไร เห็นแค่สภาวะที่เกิดแล้วก็ดับ ๆ
ตรงนี้แหละ เวลาบรรจุพระโสดาบัน ท่านถึงบอกว่า
ยังกิญจิ สมุทยธัมมัง สัพพันตัง นิโรธธัมมันติ "สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา ...สิ่งนั้นทั้งหมดดับเป็นธรรมดา"
ทำไมใช้คำว่า "สิงใดสิ่งหนึ่ง" ใช้คำว่า something เพราะอะไร ? เพราะไม่รู้ว่ามันคืออะไร มันคืออะไรบางอย่างที่เกิดขึ้น แล้วสิ่งนั้นก็ดับ เนี่ย เห็นสองครั้งนะ สำหรับพวกที่ปัญญาแก่กล้า เรียกว่าปัญญิณทรีย์ (คือ)มีอินทรีย์คือปัญญาแก่กล้า จะเห็นสองครั้ง จิตก็เข้าใจความจริงแล้ว ว่าสิ่งใดเกิด สิ่งนั้นก็ดับ
ถ้าปัญญิณทรีย์ไม่แก่กล้า (คือ)ปัญญาไม่กล้าแข็ง ต้องเห็นสามทีนะ ถึงจะเข้าใจ เข้าใจแล้วก็จะวางสังขาร พอวางสังขารนั้น ก็คือการทิ้งโลก ทิ้งจากโลกแล้ว ทิ้งจากโลกียะ
จิตมันจะทวนกระแสเข้ามาหาธาตุรู้ ตรงที่มันทิ้งโลก แล้วมันทวนเข้าหาธาตุรู้เนี่ย มันยังไม่ใช่มันพ้นจากความเป็นปุถุชน แต่มันยังไม่เป็นพระอริยะ เป็นรอยต่อ เป็นรอยต่อเนี่ย เกิดชั่วขณะจิตเดียวเท่านั้นเอง แว็บเดียวเอง จิตก็กลับเข้ามาถึงตัวธาตุรู้แล้ว
เมื่อจิตเข้าถึงธาตุรู้แล้วเนี่ย อริยมรรคจะเกิดขึ้นเอง ต้องจำไว้อย่างนึงนะ ไม่มีใครทำมรรคผลให้เกิดขึ้นได้นะ
อริยมรรค อริยผล เกิดขึ้นเองเมื่อจิตเรามี ศีล สมาธิ ปัญญา แก่รอบแล้ว สมาธิ ปัญญา แก่รอบนะ ปัญญาแก่รอบ ก็คือ รู้ความจริงว่าสิ่งใดเกิด สิ่งนั้นก็ดับ นั่นแหละ เรียกว่าปัญญาเราแก่รอบแล้ว
งั้นปัญญาจะแก่รอบได้ เราต้องพาจิตให้เรียนรู้ความจริงบ่อยๆนะ คอยดูไป สิ่งที่เกิดขึ้นมาเนี่ย สุขเกิดแล้วดับ ทุกข์เกิดแล้วดับ เรียนไปมากๆ จนปัญญามันแก่รอบ มันรู้เลยว่า สิ่งใดเกิด สิ่งนั้นก็ดับ มันก็วางสังขาร ทวนกระแสเข้าหาธาตุรู้แล้วอริยมรรคจะเกิดเอง พระพุทธเจ้าบอกเลย ไม่มีใครทำมรรคผลให้เกิดได้ มรรคผลเกิดเอง
หลวงพ่อปราโมทย์ ปราโมชฺโช