Recent Posts

[ข้อสังเกต] สติในเบื้องต้น และผู้ที่ชำนาญ


          การปฏิบัติในเบื้องต้นบางทีก็ยังมีการบังคับอยู่ เช่น การดึงจิตกลับเข้ามา พอจิตคิดนึกอะไรออกไป พอรู้ตัวก็ดึงกลับเข้ามา เช่น การกำหนดลมหายใจอยู่ เสร็จแล้วมันก็เผลอไปคิดเรื่องนู้นเรื่องนี้ พอได้สติขึ้นมา ก็ดึงจิตกลับเข้ามาสู่ลมหายใจ พอจิตมันจะไปอีก ก็ดึงกลับเข้ามาใหม่

          ในขั้นสูงถือว่าเป็นเรื่องไม่ถูก ถือว่ามีการบังคับ แต่ว่าในเบื้องต้น สำหรับผู้ฝึกใหม่ ๆ ถ้าไม่ทำอย่างนี้เลยก็ไม่ได้ จิตส่งออกนอกแล้วไม่รู้จะทำอย่างไร ก็ต้องดึงกลับเข้ามา

          ฉะนั้น การฝึกหัดในเบื้องต้นทำอย่างนี้ ก็ถือว่าไม่ผิดในระดับเบื้องต้น จิตคิดออกไป นึกออกไป ก็พยายามดึงกลับเข้ามาเพื่อให้มันอยู่ในตัวเอง 

          แต่เมื่อฝึกมาก ๆ ขึ้นแล้ว ในระดับที่เราจะพัฒนาให้ยิ่งขึ้น ถ้าดึงกลับอย่างนี้ก็ถือว่าไม่ถูก เพราะที่จริงแล้วไม่ต้องดึงกลับ มันกลับของมันเองอยู่แล้ว ถ้าสติระลึกรู้ความคิดได้ เวลาที่จิตคิดนึกไปสู่เรื่องต่าง ๆ พอสติระลึกรู้ความคิด รู้ความคิด จิตมันก็กลับมาสู่รู้อยู่ข้างใน เพราะความคิดมันอยู่ในตัวเอง ถ้าสติมารู้ที่ความคิด มันก็กลับมาสู่ข้างในเอง ก็ไม่เห็นต้องดึงอะไรตรงไหน

ถามว่ารู้ความคิดแล้ว แล้วจะรู้อะไรต่อ?

          บางคนฝึกใหม่ๆ ก็อาจจะจัดจิตใจตัวเอง กลับไปดูลมหายใจ กลับไปดูที่กายส่วนใดส่วนหนึ่ง ในเบื้องต้นของการฝึกก็ถือว่า ไม่ผิดในการกระทำอย่างนี้ ดูความคิดแล้วก็โยกจิตไปสู่ลมหายใจ หรือส่วนใดที่ถือเป็นหลักอยู่ ดูเป็นหลักอยู่ แต่ในระยะฝึกมากขึ้น ในเบื้องสูงขึ้นก็ถือว่าใช้ไม่ได้อีก เพราะถือว่ายังมีการจัดแจง มีการบังคับ เพราะความจริงไม่ต้องบังคับ

แล้วถามว่าถ้าไม่บังคับแล้วจะดูอะไรต่อ?

          เมื่อกำหนดความคิดแล้วจะดูอะไรต่อ? คำตอบ ก็ดูรู้สิ่งที่มันเกิดต่อ มันมีอะไรเกิดขึ้นก็รู้อันนั้น มันต้องมีอยู่ สภาวะมันมีอยู่ตลอดเวลา ไม่มีการว่างเว้น เวลาสติระลึกรู้ความคิด รู้ความคิด สภาพจิตก็อาจจะมีสภาพที่หยุดตัวลง ไม่ส่งออกนอก แล้วก็อาการความรู้สึกในจิตก็เป็นอารมณ์ของสติได้

          ฉะนั้น สติอาจจะรู้ความคิด รู้ความรู้สึกในจิต หรือรู้ความรู้สึกที่กาย แล้วแต่ว่ามันปรากฏ มันมาปรากฏให้รู้ได้ นี่สำหรับเมื่อผู้ที่ฝึกมากๆ ขึ้น จะเป็นลักษณะที่ไม่ได้จัดแจง โยกไปโยกมา โยกจิตไปดูตรงนั้นมาตรงนี้เอง มันเป็นไปโดยธรรมชาติของมัน มารู้จิต มันก็มีสภาวะอื่นๆ อะไรซ้อนขึ้นมา หรืออาจจะดูจิตต่อไป ดูจิต ดูอาการในจิต ดูผู้รู้ ดูความรู้สึกในกายที่มันสลับสับเปลี่ยนกันอยู่

          ในการเจริญวิปัสสนานั้น สติต้องมีสภาวะอยู่ตลอด มีสภาวะให้ระลึกรู้อยู่ตลอด เรียกว่ามีปรมัตถอารมณ์ให้สติระลึกรู้อยู่ตลอดเวลา ถ้าขณะใดสติหาปรมัตถ์ไม่เจอ นั่นก็ตกจากทาง ตกไป ความจริงปรมัตถธรรมมีตลอด แม้ในขณะที่จิตมันนิ่ง ๆ ว่าง ๆ มันก็มีจิตเป็นผู้ดูอยู่ ดูความว่างอยู่ เป็นผู้รู้ความว่างอยู่  นั่นแหละก็คือสภาวะที่ปรากฏ

          สติก็รู้เข้ามาที่จิตที่เป็นลักษณะแห่งการรับรู้อารมณ์ หรืออาการในจิตที่เกิดขึ้น ขณะนั้นที่เป็นปิติ ความอิ่มเอิบใจ ที่เป็นความสุข สบายใจ ที่เป็นสมาธิ ตั้งมั่นในอารมณ์ หรือความคิดนึก คิดในธรรมะ คิดในสภาวะก็ตาม ก็เป็นความตรึกนึกที่เกิดขึ้น สติก็ระลึกรู้ได้

          เราก็ต้องทำความเข้าใจ ในการฝึกจิตใจมันไม่มีว่า เราจะต้องทำแบบเดียวกันเหมือนกันทุกอย่าง แล้วก็ระดับคนปฏิบัติก็ไม่เท่ากัน การพัฒนาช้าเร็วกว่ากัน จะให้คนอื่นเหมือนตนเอง จะให้ตนเองเหมือนคนอื่นก็ไม่ได้  ฉะนั้น ก็ต้องประเมินตัวเอง รู้ประมาณของตัวเอง ถ้ามันยังอยู่ในขั้นที่ยังต้องจัดแจงอยู่  ต้องดึงมาอยู่ ต้องจัดอยู่ ก็ทำไปอย่างนี้ ให้รู้ว่านี่เป็นขั้นที่จะต้องฝึกอย่างนี้ก่อน แล้วต่อไปก็ให้วางเป็นปกติ

ถอดจากเทปธรรมบรรยาย เรื่อง ศรัทธา ปัญญา และความเพียร
‪‎หลวงพ่อสุรศักดิ์ เขมรังสี