ตอนที่ฝึกให้รู้เบื้องต้น เป็นเพียงการฝึกสติ
ฝึกให้จิตเกาะอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ไม่ให้ลอยไปลอยมา ไปคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ ให้มีสติไว้ สติเป็นตัวบังคับให้จิตทำตามคำสั่งของเรา ถ้าไม่มีสติ เราจะไม่สามารถสั่งให้จิตเกาะอยู่กับเรื่องนั้นเรื่องนี้ได้ พอมีเรื่องอื่นเข้ามา ก็ดึงจิตไปแล้ว แต่ถ้าเรามีสติที่แข็งที่กล้าจะมีเรื่องอะไรเข้ามา ก็ไม่สามารถทำลายสมาธิที่มีอยู่กับเรื่องนั้นหรือสิ่งนั้นได้
ในเบื้องต้นจึงต้องฝึกสติก่อน ให้รู้อยู่กับร่างกายของเรา เช่นเวลาเคลื่อนไหวในอิริยาบถ ๔ หรือทำอะไร ก็ให้รู้อยู่กับการกระทำนั้นๆ เป็นการฝึกพัฒนาสติที่เรียกว่า
สติปัฏฐาน มีอยู่ ๔ จุดด้วยกัน ที่เป็นที่ตั้งของสติได้คือ กาย เวทนา จิต ธรรม ขึ้นอยู่กับว่าจะถนัดในส่วนไหน
ถ้าถนัดกับกายก็ให้มีสติรู้อยู่กับกาย ถ้าถนัดกับเวทนาก็ให้รู้อยู่กับเวทนา เวลาเกิดสุขก็รู้ว่าสุข เวลาเกิดทุกข์ก็รู้ว่าทุกข์ เวลาไม่สุขไม่ทุกข์ก็รู้ว่าไม่สุขไม่ทุกข์ แต่
ไม่ไปควบคุมบังคับมัน เพียงแต่ให้รู้ว่ามันเป็นอย่างนั้น รู้ว่ามันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป เป็นอนิจจัง เป็นทุกขัง เป็นอนัตตา ไม่ใช่เป็นเรา เป็นของของเรา
เหมือนเสียงนกที่เราฟังอยู่ในขณะนี้ ก็รู้ว่าเป็นเสียงนก ตอนนี้หายไปแล้วก็รู้ว่าหายไป มาก็รู้ว่ามา แต่ไม่อยากให้มันหายไป ไม่อยากให้มันร้องไปตลอดเวลา รู้ตามความเป็นจริง แล้วก็รู้ว่าเป็นสิ่งที่ไม่ควรไปยึดไปติด ถ้าไปยึดไปติดเสียงที่ไพเราะน่าฟังนี้แล้ว ถ้ามันหยุดไป ก็จะรู้สึกว่ามันขาดหายไป ความสุขที่ได้จากการได้ยินเสียงนี้ก็หายไป แต่ยังอยากจะฟังอีก จึงต้องไปสร้างเครื่องอัดเสียงไว้ เพื่อจะได้ฟังเรื่อยๆ ฟังบ่อยๆ พอฟังบ่อยๆเข้ามันก็เบื่ออีก เพราะของในโลกนี้ไม่ให้ความสุขกับเราอย่างแท้จริง เราไปหลงยินดีกับมันเอง เลยทำให้เกิดความสุขขึ้นมา ถ้าเราไม่ไปหลงมันก็เป็นของกลางๆ ไม่ใช่เป็นสิ่งที่เป็นสุขหรือเป็นทุกข์ แต่ใจเราเมื่อไปเกิดความหลงขึ้นมา ไปยินดีกับสิ่งไหน ก็อยากจะอยู่กับสิ่งนั้นนานๆ ถ้าเกิดจากไป ก็เกิดความเสียอกเสียใจขึ้นมา เช่นเห็นใครสักคนหนึ่ง เช่นสามีเรา ภรรยาเรา เราชอบคนนี้ เราก็อยากจะอยู่กับเขาไปเรื่อยๆ ถ้าเขาหายไปเราก็เสียใจ เราก็ทุกข์ใจ แต่ถ้าไม่เคยเจอกันมาก่อนเลย และไม่เคยได้อยู่เป็นสามีภรรยากัน เวลาเขาหายไป เราก็ไม่เดือดร้อนอะไร เพราะไม่มีความผูกพันต่อกันนั่นเอง
พุทธศาสนา สอนไม่ให้เราไปผูกพันกับสิ่งต่างๆในโลกนี้เพราะไม่อยู่กับเราไปตลอด จิตเรานี่เป็นสิ่งที่ไม่ตาย ไม่แก่ ไม่เจ็บ แต่เราไปผูกติดอยู่กับสิ่งที่มีอายุแค่ ๔๐ – ๕๐ ปี หรือไม่ถึงด้วยซ้ำไป พอมันชำรุดทรุดโทรมหายไป จิตที่อยู่ได้ตลอดอนันตกาล ก็ต้องมาเสียใจกับสิ่งที่มีอายุสั้นๆนี้ แต่หลังจากนั้นอีกสักพักหนึ่ง ก็หาใหม่มาแทนอีก ไม่จดไม่จำ ไม่รู้ว่าเป็นทุกข์
เพราะไม่รู้ว่าธรรมชาติแท้จริงของจิตนั้น ไม่ต้องมีอะไรมาบำรุงบำเรอ ก็มีความสุขได้ เป็นความสุขที่ยิ่งใหญ่กว่าความสุขอื่นๆ อันนี้จิตไม่เคยเจอ คือ
ความสุขที่เกิดจากความสงบนิ่งของจิตเอง ตัวจิตเองไม่เคยเจอ เพราะถูกอวิชชาความหลงหรือมิจฉาทิฐิ หลอกให้ไปหาความสุขจากสิ่งต่างๆภายนอก จึงต้องหาอยู่เรื่อยๆ
ถ้าบรรลุถึงขั้นสูงสุดของโลกิยธรรม คือได้ฌานสมาบัติ ได้สมาธิ ก็จะติดอยู่ในฌาน ในสมาบัติ
ติดอยู่ในสมาธิ แต่ก็ยังไม่หลุดพ้น เพราะยังติดอยู่ในความสุขของฌาน ที่ไม่เที่ยง เสื่อมได้ ตายไปก็ไปเกิดบนสวรรค์ชั้นพรหมโลก อยู่สักกี่ปีก็แล้วแต่ เมื่อถึงเวลาเสื่อมลง จิตก็จะลงมาเป็นเทพ เป็นมนุษย์ต่อไป กิเลสก็จะออกมาแสดงลวดลาย ให้ไปแสวงหาความสนุก เราก็ต้องไป ถ้าติดอยู่กับความสุขจากการนั่งสมาธิ ก็จะนั่งสมาธิต่อ เหมือนกับเติมน้ำมัน เพื่อให้ได้กลับไปสู่ความสุขของฌานอีก ถ้าเคยมีความสุขกับการไปเที่ยว ไปโน่นมานี่ เห็นรูป ฟังเสียง ก็จะไปหาสิ่งนั้น กลับมาเกิดเป็นมนุษย์กี่ครั้ง ก็จะทำอย่างที่เราทำอยู่นี่ ไม่ต้องมีใครสอนเรื่องไปเที่ยว พ่อแม่ไม่ต้องสอนลูกเรื่องไปเที่ยว ลูกอาจจะกลับสอนพ่อแม่ด้วยซ้ำไป ว่าที่ไหนมีที่น่าเที่ยว เพราะเป็นเรื่องที่ฝังมากับใจ เป็นเหตุทำให้พวกเรามาเกิด คือกามตัณหา หรือกามฉันทะ ความยินดีในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะทั้งหลาย ที่พาเราเวียนไปอย่างนี้ เกิด แก่ เจ็บ ตาย กี่รอบๆ ก็เป็นอย่างนี้ เพราะไม่มีใครสอนให้เราแก้ตัณหานี้
ก็มีพระพุทธเจ้านี่แหละ ที่ทรงมีปัญหาเหมือนกับพวกเรา เพียงแต่พระองค์เป็นคนฉลาด ช่างสังเกต เมื่อศึกษาแล้ว ก็ตั้งจิตตั้งใจจริงๆที่จะแก้ปัญหานี้ จนในที่สุดก็แก้ได้ ก็มีคนเดียวในโลกนี้เท่านั้นแหละ ที่สามารถแก้ปัญหาของการเวียนว่ายตายเกิดของสัตว์โลกนี้ได้ด้วยตนเอง ไม่ต้องมีครู ไม่ต้องมีอาจารย์มาสอน ที่ไม่มีก็เพราะไม่มีใครรู้นั่นเอง อย่างพวกเรานี้มีอาจารย์ คือมีพระพุทธเจ้า มีพระอริยสงฆ์ จะบรรลุเป็นพระพุทธเจ้าไม่ได้ เพราะมีพระธรรมคำสอนเป็นอาจารย์อยู่แล้ว แล้วก็เป็นไม่ได้ด้วยเพราะบุญบารมีเราไม่ถึง
เพียงแต่ทำตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าก็ยังทำกันไม่ได้ แล้วจะไปทำเองได้อย่างไร มีแผนที่ยังไม่ไปเลย.
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต