Recent Posts

เป็นผู้สังเกตการณ์


คิดเท่าใดก็ไม่รู้ หยุดคิดถึงจะรู้

          เราต้องปรับทิฏฐิ ปรับความเห็นของเราให้ถูกตรงก่อน การฟังธรรมะก็เพื่อปรับให้เกิดสัมมาทิฏฐิในภาคปริยัติ ต่อไปเราจะหัดเจริญสติจนกระทั่งเราเกิดสัมมาทิฏฐิ ในภาคปฏิบัติ สัมมาทิฏฐิ ในภาคปฏิบัติถึงจุดสุดท้าย คือการรู้แจ้งในอริยสัจ

          ถ้ารู้แจ้งอริยสัจได้นะ จะปล่อยวางความยึดถือกายยึดถือใจได้ จะข้ามภพข้ามชาติได้ พ้นทุกข์ถาวรได้ชีวิตที่เหลืออยู่นี่เป็นชีวิตที่คิดไม่ถึงจริงๆ ชีวิตของพระอรหันต์ที่ดำรงขันธ์อยู่ มันมีแต่ความสุขล้วนๆนะ
มันไม่น่าเชื่อว่าจิตใจจะมีแต่ความสุขล้วนๆ ได้

          ก่อนที่เราจะไปถึงตรงนั้นนะ ต้องรู้ก่อน เราต้องรู้กายต้องรู้ใจ รู้ไปจนเห็นความจริงเลยว่ามันไม่ใช่ตัวเรา รู้ให้เห็นความจริง ไม่ใช่ให้คิดเรื่องกายเรื่องใจ การนั่งคิดเรื่องกายเรื่องใจว่ากายกับใจไม่ใช่ตัวเรา ไม่ได้เกิดประโยชน์อะไรขึ้นมา ได้แต่ใจสงบชั่วครั้งชั่วคราว ต้องเห็นความจริงว่ามันไม่ใช่เรา การคิดเอา กับการเห็นความจริงนี่คนละเรื่องกัน

          อย่างคนที่ยังหนุ่มอยู่คิดว่ามีเมียเป็นนางงามจักรวาล คิดได้ใช่ไหม จริงๆ นางงามเฉาก๊วยยังหาไม่ได้เลย ดังนั้น เรื่องจริงกับเรื่องที่คิดนี่คนละเรื่องกัน ทำวิปัสสนาต้องข้ามพ้นความคิดให้ได้ ดูของจริงให้ได้ ดูลงมาจริงๆ เลยว่า ร่างกายนี้เป็นตัวเราหรือไม่เป็น จิตใจนี้เป็นตัวเราหรือไม่เป็น ต้องเห็นของจริง เห็นของจริงก็ต้องไม่คิดเอา ต้องรู้เอา

          ฉะนั้น รู้ กับ คิดเป็นศัตรูกัน หลวงปู่ดูลย์เคยสอนนะ "คิดเท่าใดก็ไม่รู้ หยุดคิดถึงจะรู้" ถ้าหยุดคิดแล้วรู้ หยุดคิดแล้วดูลงไป กายนี้จริงๆ เป็นอย่างไร จิตใจนี้จริงๆ เป็นอย่างไร

การรู้นี้คล้ายๆ เราทำตัวเป็นนักวิจัย

          เหมือนเราเป็นนักวิทยาศาสตร์ อย่าไปนั่งคิดเอาเองว่าคำตอบคืออะไร เราต้องไปดูว่าของจริงเป็นอย่างไร ทางศาสนาพุทธก็เป็นงานวิจัยนะ ท่านเรียกว่าธรรมวิจัย ธรรมวิจัยก็คือธรรมวิจัยนั่นเอง approach (วิธีการ) ในการวิจัยนี่ พระพุทธเจ้าสอนมาก่อนฝรั่งอีก เราก็แตกตื่นไปเรียนของฝรั่งนะ ไม่เห็นมีอะไรเลย ถ้าเข้าใจศาสนาพุทธจริงๆ นี่ approach ทั้งหลายนะไม่ได้หนีพ้นกรอบ ที่พระพุทธเจ้าสอนไว้

          หลวงพ่อเป็นคนกรุงเทพฯ เกิดในกรุงเทพฯนะ โตอยู่ในกรุงเทพฯ จนแก่อยู่ในกรุงเทพฯ แล้วไปบวชอยู่ในเมืองกาญจน์ ที่เมืองกาญจน์เป็นท้องไร่ท้องนา ที่ไปอยู่ทีแรกแล้วไปปลูกต้นไม้จนเป็นป่าขึ้นมา หลวงพ่อไปเห็นนกเยอะแยะเลย เราคนกรุงเทพฯ เรารู้จักแต่นกกระจอกนกพิราบ คนกรุงเทพฯ กระจอกมากนะ นกอื่นไม่มีหรอก นกกระจอกเยอะ หรืออย่างมากก็มีนกนางแอ่นมาเกาะสายไฟ รู้จักนกอยู่ไม่กี่อย่าง

          พอไปอยู่เมืองกาญจน์นะ เห็นนกเพียบเลย ไม่รู้นกอะไร ไปถามช่างก่อสร้างว่านกอะไร ช่างบอกว่าชื่อนกกระริ้ง ฟังแล้วก็ว่างเปล่าเท่าเดิมแหละนะ ความรู้ที่เกิดจากการถามคนอื่นเขาได้แค่นี้เอง เสร็จแล้วเราก็มานั่งคิดเอาว่า นกนั่นหรือเปล่านกนี่หรือเปล่า เป็นความรู้ที่เกิดจากการคิดเอา คิดเอาๆ เสร็จแล้วก็ไม่รู้ว่าจริงไม่จริงอีก

          มันมีวิธีการศึกษาอีกวิธีหนึ่งคือ **การสังเกตการณ์ หลวงพ่อแทนที่จะมานั่งคิดว่ามันเป็นนกอะไร ไม่สนใจแล้วว่ามันชื่ออะไร หลวงพ่อก็ไปดูว่านกนี้มีพฤติกรรมอย่างไร อยู่ตัวเดียว อยู่เป็นคู่หรืออยู่เป็นฝูงนะอยู่กันอย่างไร กินอะไร มีชีวิตความเป็นอยู่อย่างไร ตามรู้ตามดูมันไปเรื่อยๆ นะ อยู่มาวันหนึ่งหลวงพ่อเป็นผู้เชี่ยวชาญนกกระริ้ง ซึ่งจริงๆ มันชื่ออะไรยังไม่รู้เลย

          ฉะนั้นการปฏิบัติก็เหมือนกันนะ ไม่ใช่ไปถามคนอื่น มานั่งฟังหลวงพ่อเนี่ย ก็เหมือนที่หลวงพ่อไปถามช่างแดงว่านกอะไร นกกระริ้ง พวกเราฟังแล้วก็ว่างเปล่า มาฟังหลวงพ่อพูดนะ หลวงพ่อก็บอกรู้อริยสัจสิ เจริญสติปัฏฐานสิ ของเราทำได้ไหม มันยังไม่ได้ใช่ไหม ความรู้ที่ถามเขามานะใช้ไม่ได้ ความรู้ที่อ่านมานะใช้ไม่ได้จริง ความรู้ที่คิดเอาเองใช้ไม่ได้จริง

          ต้องเป็นความรู้ที่ลงมือสังเกตการณ์ ทำตัวเป็น observer (ผู้สังเกตการณ์) นะ **เป็นผู้สังเกตการณ์ คอยสังเกตสิ ร่างกายนี้เป็นตัวเราหรือไม่เป็น คอยสังเกตหน่อยสิ จิตใจนี้เป็นอย่างไร เป็นตัวเราหรือไม่เป็น อย่างร่างกายเราสั่งอะไรมันได้จริงไหม อย่างเรานั่งนะ นั่งให้สบายเลย สั่งห้ามเมื่อยนะ ห้ามเมื่อยไม่ได้ เห็นไหม ความทุกข์บีบคั้นทนไม่ได้ สั่งมันไม่ได้จริง ห้ามหิวนะ ห้ามปวดอึ ห้ามปวดฉี่นะ สั่งมันไม่ได้สักอันหนึ่ง คอยดูของจริงลงไปนะ เห็นว่าเราบังคับมันไม่ได้จริงๆ หรอก

          ไม่ใช่ไปนั่งกำหนดนะ ไปกำหนดลมหายใจ กำหนดเท้ากำหนดท้องกำหนดมือ กำหนดความเคลื่อนไหวกำหนดอิริยาบถอะไรอย่างนี้ การเที่ยวไปกำหนดจดจ้องไม่ใช่การตามดูแล้ว มันเป็นการจับผิด

          ทำตัวแค่ตามรู้ตามดูไป เห็นร่างกายมันยืนมันเดินมันนั่งมันนอนไป เห็นมันเปลี่ยนอิริยาบถไป เพราะมันถูกความทุกข์บีบคั้นไปเรื่อยๆ เห็นมันหายใจออก เห็นมันหายใจเข้า ทำไมมันต้องหายใจ ก็เพราะมันถูกความทุกข์บีบคั้นให้ต้องหายใจนะ พอไม่หายใจก็ทุกข์ใช่ไหม หายใจออกอย่างเดียวก็ทุกข์ หายใจเข้าอย่างเดียวก็ทุกข์ ดูลงมาในกายนี้มีแต่ทุกข์ล้วนๆ เลย ทุกๆ อิริยาบถ ทุกๆ การหายใจเข้าออก นี่ค่อยเห็นความจริงหน่อยนะ

          หรือเห็นเลยกายนี้เป็นวัตถุเป็นก้อนธาตุ ไม่ใช่ตัวเราจริงๆ หรอก มีธาตุไหลเข้ามีธาตุไหลออก เช่น หายใจเข้าหายใจออก กินแล้วก็ขับถ่าย ดื่มน้ำไปแล้วก็ขับถ่ายออกมาอย่างนี้ เป็นแค่วัตถุเป็นแค่ก้อนธาตุ ดูของจริงๆ ลงไป เรายืมโลกมาใช้ชั่วครั้งชั่วคราว

          หรือบางคนภาวนา เห็นร่างกายเป็นโพรงเป็นถ้ำที่จิตอาศัยอยู่ พระพุทธเจ้าก็สอนอย่างนี้ แค่วัตถุเท่านั้นเอง ไม่ใช่ตัวเราที่แท้จริง

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช