Recent Posts

"วิหารธรรม" หรือ "เครื่องอยู่"


วันหนึ่งผมถามท่านว่ายทวนน้ำเกี่ยวกับคำสอนของครูบาอาจารย์หลายรูปว่า

ผม : เพราะเหตุใดครูบาอาจารย์ผู้รู้หลายรูปถึงสอนให้นั่งกำหนดลมหายใจและบริกรรมคำว่า "พุทโธ" ไว้ในใจครับ?

ว่ายทวนน้ำ : นั่นเป็นเพียง "เครื่องอยู่" อย่างหนึ่งเท่านั้นเอง คือถ้าบุคคลใดไม่สามารถอยู่กับ "สุญญตาวิหาร" ซึ่งเป็นวิหารธรรมหรือเครื่องอยู่ของพระอริยะได้ การนั่งกำหนดลมหายใจหรือบริกรรมคำว่าพุทโธไว้จะเป็นเครื่องอยู่ที่ช่วยให้บุคคลนั้น "ก่อกรรม "น้อยกว่าไปทำอย่างอื่น

ผม : คำว่า "เครื่องอยู่" คืออะไรครับ?

ว่ายทวนน้ำ : เครื่องอยู่ก็คือ "การกระทำในแต่ละขณะ" ฉันแบ่งกว้าง ๆ ออกเป็นสามประเภท คือ
                    1. เครื่องอยู่ของปุถุชน
                    2. เครื่องอยู่ของผู้เริ่มต้นภาวนา
                    3. เครื่องอยู่ของพระอริยะ

ผม : แต่ละอย่างเป็นยังไงบ้างครับ?

ว่ายทวนน้ำ : เครื่องอยู่ของปุถุชนก็เช่น เล่นเนต เล่นเฟส เล่นไลน์ เล่นเกม ไปเที่ยว ออกตามหาของอร่อยกิน บ้าแต่งตัว ดูหนัง ดูข่าว ฟังเพลง เลี้ยงลูกเลี้ยงหลาน ทำบุญ ทำบาป ฯลฯ ซึ่งเครื่องอยู่ดังกล่าวนั้นอันตรายเพราะเป็นการก่อกรรมเพิ่มภพชาติอยู่ตลอดเวลา

ผม : ทำไมอาจารย์ถึงบอกว่าเป็นการก่อกรรมครับ อย่างเล่นเนต ไปเที่ยว บ้าแต่งตัวเนี่ย มันไม่ได้เบียดเบียนใครนะครับ?

ว่ายทวนน้ำ : การก่อกรรมนั้นไม่จำเป็นว่าต้องกระทำกับผู้อื่นอย่างเดียวนะ แต่การทำให้ตัวเอง "ไม่ว่าง" ถือเป็นการก่อกรรมทั้งสิ้น อย่างสมมติคุณเป็นคนชอบแต่งตัวก็เลยไปซื้อเข็มขัดหลุยส์มาใส่ เพราะคุณ "อยาก" อยากดูดี อยากให้คนมอง อยากให้คนชื่นชม เมื่อคุณอยากแล้วคุณก็สนองอยาก การสนองความอยากนั่นแหละคือการสร้างกรรมให้แก่ตัวเอง เพราะมันเป็นการพอกพูนกิเลสตัวโลภตัวหลง เมื่อเป็นการสร้างกรรมผลก็คือภพชาติของคุณจะถูกเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ยิ่งก่อภพชาติมากเท่าไหร่ยิ่งหมดโอกาสบรรลุธรรมมากเท่านั้น ถ้ากรรมที่ก่ออย่างต่อเนื่องธรรมชาติประมวลผลออกมาแล้วว่าเกิน 7 ชาติใช้ไม่หมด คุณหมดสิทธิ์ได้โสดาบันทันที

ผม : แสดงว่าทุกวันนี้คนเราก่อกรรมเพิ่มภพชาติให้แก่ตัวเองอยู่ตลอดเวลาโดยไม่รู้ตัวเลยน่ะสิครับ?

ว่ายทวนน้ำ : ถูกต้อง ยิ่ง "สนองความคิด" ตัวเองมากเท่าไหร่ยิ่งเพิ่มภพชาติมากเท่านั้น หลวงพ่อมนตรีที่ป่าละอูถึงบอกว่า "หยุดคิด หยุดสังสารวัฏ" ความคิดนั่นแหละคือตัวก่อสังสารวัฏก่อภพก่อชาติขึ้นมาให้คุณต้องมาเกิดอยู่เรื่อย ๆ ซึ่งน้อยคนมาก ๆ ที่จะรู้ความจริงตรงนี้ ยิ่งจิตไหวเท่าไหร่ ยิ่งเพิ่มเวลาเกิดมากเท่านั้น

ผม : แล้วการนั่งกำหนดลมหายใจและบริกรรมคำว่าพุทโธในใจล่ะครับ?

ว่ายทวนน้ำ : ก็ยังถือว่าเป็นการทำตามความคิด เป็นกิเลสตัวหนึ่งเหมือนกันเพราะนั่นคือการสนองความ "อยากสงบ" "อยากบรรลุธรรม" เพียงแต่มันเป็นความอยากฝ่ายดี และมันถือว่าเป็นเครื่องอยู่ที่เซฟกรรมมากกว่าการไปทำอะไรแบบปุถุชนทั่ว ๆ ไป พูดง่าย ๆ ถ้าคุณอยู่กับความว่างไม่ได้ก็ให้ไปจับสมถะไว้จะเซฟกรรมกว่าการไปทำอย่างอื่น ตายไปยังอาจได้ไปเกิดเป็นพรหม

ผม : สำหรับแนวทางของอาจารย์ ๆ แนะนำให้จับสมถะไหมครับ?

ว่ายทวนน้ำ : ตามประสบการณ์ของฉัน ๆ แบ่งเป็นสมถะออกเป็น 2 แบบ คือ
                     1. สมถะแบบไม่กระตุ้นปัญญา
                     2. สมถะแบบกระตุ้นปัญญา

สมถะแบบไม่กระตุ้นปัญญา คือการกำหนดลมหายใจ การบริกรรมคำว่าพุทโธในใจ เป็นต้น สาเหตุที่มันไม่ได้ปัญญาเพราะมันจะไม่ได้ "ข้อคิดเพื่อหยุดคิด" มันก็จะได้แต่เพียงอารมณ์ฌานอย่างเดียว แต่ไม่เกิดปัญญา การกระทำในรูปแบบนี้คือการกระทำที่พระพุทธเจ้าเคยไปเรียนกับอาฬารดาบสและอุทกดาบส ส่วนหลวงปู่มั่นเรียกว่า "สมาธิหัวตอ" สูงสุดคือไปนิพพานแบบพรหมเขาเรียก "โลกียะนิพพาน" จะมีอาการเหมือนนิพพานแท้ทุกอย่างแต่ต่างกันตรงที่ปล่อยวางวิญญาณไม่ได้ แล้วก็ไม่รู้ตัวด้วยว่าปล่อยวางวิญญานหรือวางจิตไม่ได้ มีพระหลายรูปที่เข้าใจว่าตัวเองเข้าถึงนิพพานแล้วเพราะเขาไปเจอตรงนี้แหละ ซึ่งจริง ๆ ไม่ใช่ ที่เขาเจอนั่นคือโลกียะนิพพาน ถูกวิปัสสนูกิเลสหลอกให้เข้าใจว่าตัวเองได้แล้ว เป็นพวกฤาษีในคราบพระ พระที่มีชื่อเสียงที่ถูกยกย่องว่าเป็นอรหันต์เป็นแบบนี้หลายรูป มีทั้งที่ตายไปแล้วและมีชีวิตอยู่ สายพระป่าที่เป็นแบบนี้ก็เยอะ จริง ๆ คือเขาหลงทางไปเจอโลกียะนิพพาน แต่เข้าใจว่าตัวเองบรรลุธรรมขั้นสูงสุดแล้ว และถ้าหลงแล้วแก้ยากแล้ว เขาจะไม่ฟังใครแล้ว แต่ถามว่าเขาพูดธรรมะได้ไหม พูดได้ แต่อาจไม่ถูกทั้งหมด มันจะมีบางอย่างหลุดออกมาว่าคนนี้ยังไม่เข้าใจจิตจริง ๆ ผู้รู้เขาจะดูออก

ส่วนสมถะแบบกระตุ้นปัญญานั้น คือการบริกรรมถ้อยคำใดถ้อยคำหนึ่งที่เป็นการให้ "ข้อคิดเพื่อหยุดคิด" อย่างนิกายเซ็นเขาจะให้บริกรรมวัชรปรัชญาปารมิตาสูตร (สูตรที่ว่าด้วยความว่าง) แต่ถ้าสำหรับฉัน ๆ จะให้ถ้อยคำสั้น ๆ ไปบริกรรม เช่น คำว่า "เมื่อไหร่ที่เราอยู่ไม่ว่าง เมื่อนั้นเรากำลังสร้างกรรม" หรือ "เราคิด หยุดคิด แล้วแต่กรรม" แต่ที่ฉันเชียร์ให้คนที่ศึกษาในแนวของฉันท่องบ่น "ตามรอยพระอรหันต์จี้กง 28 ข้อ" ที่ฉันเขียนขึ้นมา ให้ท่องอันนั้นไว้เป็นเครื่องอยู่ ท่องให้บ่อย ๆ มีเวลาว่างก็ให้ท่อง ๆ ให้มันซึมให้มันเหมือนท่องสูตรคูณ เพราะฉันเขียนให้ครอบคลุมกิเลสในชีวิตประจำวันและข้อคิดในการแก้กิเลสตัวนั้น ถ้าคุณท่องจนเหมือนสูตรคูณได้มันจะตีจิตคุณขึ้นมาจากภายในเวลาคุณเจอสถานการณ์นั้น คุณจะเบรกตัวเองได้แล้วคุณจะได้ข้อคิดด้วย เป็นการช่วยกระตุ้นปัญญาและเบรกการสร้างกรรมไปในตัว

สรุปว่าคนที่ไม่สามารถอยู่กับ "สุญญตาวิหาร" การใช้สมถะเป็นเครื่องอยู่ถือว่าปลอดภัยกว่าการไปสนองกิเลสหรือสนองความคิดอย่างอื่น แต่สมถะจริง ๆ ไม่ใช่หนทางแห่งการบรรลุธรรม เพราะมันยังไม่ได้ถอดถอนความคิด มันยังไม่สามารถหยุดคิดได้เลยต้องไปกดไว้ก่อน เบรกไว้ก่อนไม่ให้สร้างกรรมมากเกิน มันแค่เป็นเครื่องอยู่ของผู้ที่ไม่สามารถไปสูงกว่านี้ได้

ผม : แล้วสุดท้ายเครื่องอยู่ของพระอริยะล่ะครับ?

ว่ายทวนน้ำ : พระพุทธเจ้าเคยถามพระสารีบุตรว่าเธอมีอะไรเป็นเครื่องอยู่? พระสารีบุตรตอบว่ามี "สุญญตาวิหาร" เป็นเครื่องอยู่ นี่แหละคือเครื่องอยู่ของพระอริยะ คือการอยู่ว่าง อยู่กับความบริสุทธิ์ที่ไม่ปรุงแต่งใด ๆ เลย พระอรหันต์นั้นความคิดกับจิตแยกขาดออกจากกันแล้ว คือพระอรหันต์จะจับความคิดก็ได้หรือไม่ไปจับความคิดแล้วอยู่กับจิตที่บริสุทธิ์ก็ได้ การจับความคิดมันไม่มีผลต่อท่านแล้ว อย่างคุณจะเห็นว่าหลวงตาบัว หลวงปู่แหวนสูบบุหรี่ หลวงตาบัวก็ยังเล่าให้ฟังว่าหลวงปู่มั่นก็สูบบุหรี่เหมือนกัน แต่นั้นคือท่านถึงแล้วท่านทำได้ แต่ถ้าคนไหนยังไม่ถึงอย่าเพิ่งไปทำ เหมือนคนเรียนหนังสือจบแล้วเข้าใจทะลุปรุโปร่งหมดแล้วก็ไม่จำต้องอ่านหนังสือแล้ว แต่คนที่ยังเรียนไม่จบต้องอ่านหนังสือให้หนักก่อนเพื่อจะเรียนให้จบ พระอรหันต์ก็คือคนที่เรียนจบทางจิตแล้ว ดังนั้น พระอรหันต์จะทำตัวกระโดกกระเดก จะเล่นฤทธิ์เข้าฌานยังไงก็เรื่องของท่าน ท่านพ้นแล้วปลอดภัยแล้ว แต่ผู้ไม่ถึงอย่าเพิ่งไปเล่นเพราะมันเป็นการส่งจิตออกนอก การกระทำดังกล่าวของพระอรหันต์นั้นคือการไปจับความคิด แต่ไม่มีผลต่อจิตบริสุทธิ์ที่ถูกแยกขาดออกจากความคิดแล้ว แต่เรื่องนี้พูดไปคนที่ยังไม่ถึงจะไม่เข้าใจ เผลอ ๆ จะสร้างกรรมโดยการตำหนิท่านด้วยซ้ำ คือเขาไปจินตนาการเอาเองว่าอรหันต์ต้องเรียบร้อย ต้องนั่งหงึกอยู่ตลอดหรือยังไงก็ไม่ทราบ คุณถึงแล้วคุณจะเข้าใจเอง แต่ถ้ายังไม่ถึงอย่าไปเดาเอาเอง อย่าไปคาดคิดเอาเองว่าอรหันต์ต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้

ผม : คนที่เริ่มภาวนาสามารถฝึกอยู่กับความว่างได้ไหมครับ?

ว่ายทวนน้ำ : ฝึกได้ แต่มันยากหน่อยเพราะคุณจะเผลอไปทำตามความเคยชินที่ทำมาตลอด วิธีฝึกก็คือให้หมั่นถามตัวเองบ่อย ๆ ในทุก ๆ การกระทำว่า "เราจะทำอย่างนี้ทำไม จะพูดทำไม ทำเพื่ออะไร พูดเพื่ออะไร" คือให้เห็นเจตนาตัวเองก่อนทำว่าทำเพื่ออะไร ทำเพื่ออยู่หรือทำเพื่ออยาก? อย่างคุณจะเอาเติมซอสลงในขนมปัง คุณลองถามตัวเองดูว่าเติมทำไม? อยากให้อร่อยใช่ไหม? นี่ติดรสชาติใช่ไหม? พอเห็นกิเลสแล้วว่าอ่อใช่เราอยากอร่อย ถ้าคุณเห็นแล้วว่ามันไม่จำเป็นนะ มันเป็นกิเลสส่วนเกินนะ นี่เราทำเพราะอยากนะ ไม่ทำเราไม่ตายนะ คุณก็อย่าไปสนองมัน แล้วเวลากินก็ให้กินไปโดยไม่ต้องสนใจในรสชาติ รู้รสแต่ไม่ต้องสนใจรส นั่นแหละคือกินด้วยจิตว่าง

"การรู้แล้วไม่สนใจในสิ่งที่รู้" นั่นแหละคืออยู่กับว่าง คืออันเดียวกับที่พระพุทธเจ้าสอนพาหิยะว่าให้ "สักแต่ว่า" สักแต่ว่าได้เห็น สักแต่ว่าได้ยิน สักแต่ว่าได้กลิ่น สักแต่ว่าลิ้มรส สักแต่สัมผัส สักแต่ว่ารู้สึกนึกคิด ถ้าสักแต่ว่าได้นั่นแหละคือว่างจากสิ่งนั้น อย่างเวลาครูบาอาจารย์สอนว่าให้ "อยู่กับรู้" เนี่ย จริง ๆ แปลว่าให้ "อยู่กับว่าง" คือรู้แล้วก็อย่าไปสนใจในสิ่งที่รู้ แล้วคุณจะว่างจากสิ่งนั้น

ส่วนที่ครูบาอาจารย์สอนว่าให้ "รู้สึกตัว" เนี่ย หมายถึงให้กลับมารู้ตัวหลังจากที่เราหลงความคิดไปแล้ว อย่างเวลาคุณได้ยินเสียงคนทะเลาะกันหน้าบ้าน คุณอยากออกไปดู ตอนที่คุณกำลังทำตามความอยากโดยการออกไปดูนั่นคือจังหวะที่คุณอยู่กับหลง คือหลงไปตามความคิด ความคิดบอกให้ทำคุณก็ทำทันที แต่ถ้าคุณรู้ตัวว่าเฮ้ยนี่เราวิ่งไปดูทำไมเนี่ย? เราสนใจทำไมเนี่ย? นั่นแหละคือการ "รู้สึกตัว" คือเรารู้ตัวว่าเราหลงตามความคิดไปแล้ว แล้วเราก็เลิกสนใจความคิดนั้น นั่นก็คือเรากลับมาอยู่กับรู้หรืออยู่กับว่างตามเดิม

ในขณะที่หลงนั่นคือเราไม่อยู่กับรู้ แต่ถ้าเราไม่หลงในขณะนั้นเราอยู่กับรู้อยู่แล้ว การฝึกอยู่กับสุญญตาวิหารก็คือให้อยู่กับรู้ (อยู่กับว่าง) ให้บ่อยที่สุด ให้จิตคงสภาพเดิมแท้ไม่หลงตามความคิด (กิเลส) ให้บ่อยที่สุด ถอดถอนความคิดในเรื่องนั้นเรื่องนี้ออกจากให้มากที่สุดมันจะว่างไปเองโดยอัตโนมัติ แล้วพอจิตถึงเวลา ปัจจัยทุกอย่างถึงพร้อม มันก็เป็นการบรรลุธรรมขึ้นมา

สรุปว่า เวลาใช้ภาษาในการสื่อสาร เช่น คำว่า "รู้" "ว่าง" "สักแต่ว่า" พวกนี้ความหมายเหมือนกันหมด แต่อยู่ที่ว่าใครจะเลือกใช้คำไหนมาสื่อสารเท่านั้นเอง

ที่มา : เดินทางลัดสู่ใจกลางพุทธ