วิธีการหลวงพ่อเทียน ใช้ปรมัตถ์เป็นอารมณ์
ในวิธีการของหลวงพ่อเทียน เราเริ่มต้นด้วย สติ สมาธิ ปัญญา เราใช้ปรมัตถ์เป็นอารมณ์ แต่ถ้าเราเอา
มือที่เคลื่อนไหวเป็นอารมณ์ แสดงว่าเราใช้
รูปเป็นอารมณ์
อันนี้ไม่ถูกแล้ว
เวลาเรานั่งปฏิบัติ
อย่าไปนึกว่ามือเคลื่อนไหว ให้นึกถึงอาการของการเคลื่อนไหว เช่น มันมีการหนัก เบา เร็ว ช้า ไหว นิ่ง
ความรู้สึกในอาการนี้เป็นตัวปรมัตถ์
ลมหายใจเป็นรูป รูปเป็นสมมติ ยังอยู่ภายใต้กฎ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แต่นามเป็นปรมัตถ์ อยู่เหนืออนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
วิธีการของหลวงพ่อเทียนจึงเร็ว เพราะเราเอาปรมัตถ์เป็นอารมณ์ ไม่ได้เอารูป หรือสมมติเป็นอารมณ์
ชื่อคือสมมติ อาการคือปรมัตถ์
การรู้รูปนาม คือ ผู้ปฏิบัติเริ่มรู้เห็นเหตุเกิดของสมมติ หรือเหตุเกิดทุกข์ และรู้ที่มาของปรมัตถ์ หรือรู้วิธีดับทุกข์
สมมติ แปลว่า “ข้อตกลงร่วมกัน หรือมีมติร่วมกัน” เช่นเราตกลงกันว่า ให้เรียกอวัยวะส่วนที่ยื่นออกมาจากลำตัวทั้งสองข้างว่า “แขน” และเรียกอวัยวะ ส่วนสุดปลายแขนว่า “มือ” เป็นต้น สมมติทางภาษาภาษาอังกฤษเรียกแขนว่า “อาร์ม” จะไปเรียกอย่างอื่นไม่ได้ มันคือข้อตกลงตามสมมติในสังคมมนุษย์ให้ใช้เรียกเฉพาะชุมชนนั้นๆ ชาตินั้นๆ หรือความรู้สึกภายในกาย เช่น เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ภายในกายของแต่ละคนให้เรียกว่า “เวทนาหรือความรู้สึก”
วัตถุที่เป็นก้อนที่มีรสเค็ม ถูกสมมติเรียกว่า “เกลือ” รสของเกลือทุกชาติ เค็มเหมือนกันหมด
อาการที่รู้สึกเค็มเรียกว่า “ปรมัตถ์” หรือนามแต่ชื่อของมันแต่ละชาติ เรียกต่างๆกันไป เรียกว่า “สมมติ” สมมติจึงเป็นเสมือนเปลือก ส่วนเนื้อคือ
ความรู้สึกล้วนๆเป็น “ปรมัตถ์”
รู้สมมติ ปรมัตถ์
เมื่อก่อนเราติดอยู่แค่สมมติว่าร่างกายนี้เป็นเราเป็นเขา เป็นหญิงเป็นชาย เป็นรวยเป็นจน
เรามาดูความเป็นจริงของมันเป็นปรมัตถ์ เรามารู้ร่างกายมีอยู่ เพราะมีความรู้สึกเย็น ร้อน อ่อน แข็ง ความเป็นตัวตนเป็นสมมติ ก็จะหายไปในขณะนั้น
เห็นเวทนา สัญญา ความจำได้หมายรู้ เห็นสังขารการปรุงแต่งมีบ้างไม่มีบ้าง เห็นวิญญาณการรับรู้ทางอายตนะทั้งหก เห็นกายเราเป็นเพียงขันธ์ห้า ที่ทำงานตลอดเวลา ลักษณะนี้เรียกว่ารู้สมมติปรมัตถ์
จนกระทั่งเราเข้าใจได้ถึงการทำงานของมันแล้ว จิตเกิดรู้สภาวะเหล่านี้เป็นเพียงอาการ จิตเกิดการเฝ้าดูต่อเนื่องมากขึ้น เรียกว่ารู้รูปนาม เป็นปรมัตถ์
สิ่งแรกที่เราต้องรู้ในการปฏิบัติเราจึงมาดูตัวปรมัตถ์
หลวงพ่อเทียนจึงเริ่มต้นที่วิปัสสนา เพราะ
วิปัสสนานั้นเอา
ปรมัตถ์เป็นอารมณ์ แต่
สมถะเอา
รูปเป็นอารมณ์
พระพุทธยานันทภิกขุ