คำว่า “จิตว่าง” นี้ เป็นคำที่ผูกขึ้นมาใช้ ให้พวกเราเรียนง่าย จำง่าย พูดกันง่าย คือคำสูงสุดใน พุทธศาสนา คือ “ว่างจากตัวตน” ไม่ใช่ว่างอันธพาล หรือ ว่างไม่มีอะไร ว่างไม่คิดนึกอะไร นั่นไม่ใช่ “จิตว่าง” ในที่นี้
“จิตว่าง” ในที่นี้คือ จิตว่างจากความยึดมั่น ว่าตัวกู ว่าของกู จิตจะคิดอะไรก็ได้ นึกอะไรก็ได้ ทำอะไรก็ได้ ขอแต่มันว่างจากความมั่นหมายเป็น “ตัวกู-ของกู” ก็เรียกว่า “จิตว่าง”
มูลเหตุดั้งเดิมของมันมีอยู่ว่า เมื่อพระพุทธเจ้า ท่านสอนว่า “จงเห็นโลกโดยความเป็นของว่าง” หรือ “สุญโญ” นั้นคือ “ว่าง” ว่างจากอะไร ท่านได้ตรัสว่า
“ อตฺเตน วา อตฺตนีเยน วา สุญฺโญ โลโก ”
“โลกว่างจากตัวตน ว่างจากของตน”
ท่านย้ำ ท่านสอน ท่านขอร้อง หรือปลอบโยน อะไรก็ตามแต่เถอะว่า “เธอจงดูโลกโดยความ เป็นของว่าง” มันว่างจากความหมายแห่ง “ตัวตน” ว่างจากความหมายแห่ง“ของตน”
"จิตว่าง คิดนึกอะไรก็คิดได้ แต่ไม่มีความหมายแห่งตัวตน ในใจไม่มีความยึดถือโดยความหมายแห่งตัวตน”
จิตว่าง เป็นจิตที่ลืมตา " จิตว่างในพระพุทธศาสนามันเห็นว่าทุกอย่าง ไม่มีตัวตน ไม่เป็นตัวตน ไม่ใช่ของตน" เขาใช้คำว่า โลกทั้งหมดทุกๆ โลก เป็นอนัตตา คือ ไม่เป็นตน และไม่เป็นของตน มันเห็นเช่นนั้นเอง มันก็เลยไม่ยึดถือ ไปยึดถือก็ไม่ไหว ยึดถือไม่ได้ ยึดถือไม่ลง เพราะมันเป็นเช่นนั้นเอง
เมื่อจิตไม่ยึดถือก็เป็นจิตที่ว่าง เพราะมันไม่ได้ยึดถืออะไร จิตที่ว่างมันก็สบาย บุคคลนั้นเมื่อสบาย แล้วก็ไม่ไปทำอันตรายใครที่ไหนได้ ไม่เอาเปรียบใครได้ สามารถทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ได้ดีด้วย
เพราะมันเป็นจิตที่ลืมตา จิตที่รู้ จิตที่ตรัสรู้ จิตที่รู้อะไรอย่างแจ่มแจ้งถูกต้อง มันก็ทำอะไรถูกต้อง ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ได้ มันได้ผลว่า
ข้อแรก มันเป็นสุข คนนั้นไม่มีความทุกข์
ข้อสอง ความมีอยู่แห่งบุคคลนั้น มันก็เป็นประโยชน์แก่คนอื่นด้วย"
พุทธทาสภิกขุ