วิถีของจิตใจนั้น มันไม่มีเรื่องอะไรหรอก แต่มันชอบออกไปหาเรื่อง
กาย กำเริบ คือ ปวดเมื่อย
ใจ กำเริบ คือ ฟุ้งซ่าน
๑)
อวิชชาวิสมโลภะ คือ ใจที่แส่ส่ายออกไปหาอารมณ์ อดีต อนาคต ยกจิตไปไว้ในอารมณ์อื่น
๒)
พยาปาทะ ใจก็ไม่ชอบ หงุดหงิด ฟุ้งซ่าน
๓)
มิจฉาทิฏฐิ ไปก็ไม่รู้ มาก็ไม่รู้ มาว่าไป ไปว่ามา
ลมออกว่าเข้า ลมเข้าว่าออก
จิตเผลอเป็นคนไม่รู้เรื่องรู้ราว ๓ อย่างนี้ เป็น "มโนทุจริต" ทั้งสิ้น จิตของเราเหมือนอาหารที่อยู่ในชาม สติเสมือนฝาชาม ถ้าเราขาดสติเท่ากับเปิดฝาชามไว้ แมลงวัน (กิเลส) ย่อมจะบินมาเกาะ เมื่อเกาะแล้วมันก็กินอาหาร แล้วก็ขี้ใส่บ้าง นำเชื้อโรค มาใ่ส่ให้บ้าง ทำให้อาหารนั้นเป็นเป็นโทษ เป็นพิษ เมื่อเราบริโภคอาหารที่เป็นพิษเราก็ย่อมได้รับทุกข์ประสบอันตราย
ฉะนั้นเราจะต้องคอยระวังผิดฝาชามไว้เสมอ อย่าให้แมลงวันมาเกาะได้ จิตของเราก็จะบริสุทธิ์สะอาด เกิดปัญญาเป็นวิชชา ความรู้ จิตใจของเรา เหมือนขันหรือตุ่มน้ำ ขันนั้นถ้าปากมันหนาข้างบางข้างก็ย่อมตั้งตรงไม่ได้ น้ำก็จะต้องหก หรือตุ่มมันเอียง มันแตกร้าว น้ำก็ขังอยู่ไม่ได้เช่นเดียวกัน
ฉันใดก็ดี บุญกุศลที่จะไหลมาขังอยู่ในจิตใจของเราไ้ด้เต็มเปี่ยมก็ด้วยการทำจิตให้เที่ยง ไม่ตกไปในสัญญา อดีต อนาคตทั้งดีและชั่ว บุญกุศลซึ่งเปรียบเหมือนน้ำบาดาล หรือน้ำตก ก็จะไหลซึมซาบมาหล่อเลี้ยงกายใจของเราอยู่เสมอไม่ขาดสาย ไม่มีเวลาหยุด เป็น "อกาลิโก" ให้ผลไม่มีกาล การปรับปรุงจิตใจนั้น เราต้องคอยตรวจตราดูว่า ส่วนใดควรแก้ไข ส่วนใดควรเพิ่มเติม ส่วนใดควรปล่อยวาง จะแก้ไปอย่างเดียวก็ไม่ได้ จะปล่อยไปอย่างเดียวก็ไม่ได้ ต้องดูว่า สิ่งใดควรแก่ข้อปฏิบัติของเรา เราก็ทำ..
ลมพัดป่ามันติดต้นไม้ ไม่โปร่งโล่งเหมือนลมพัดทุ่ง
ฉะนั้นจงทำจิตให้ว่าง เหมือนทุ่งนา
หลวงพ่อลี