พวกเราสังเกตไหม ในมหาสติปัฏฐาน พระพุทธเจ้าบอกว่าเป็นทางสายเอกสายเดียว เพิ่อความพ้นทุกข์ เรื่องที่เราต้องเรียนนะ
- เรื่องหนึ่งคือเรื่อง
อริยสัจ
- เรื่องหนึ่งเรื่อง
สติปัฏฐาน
- เรื่องหนึ่งเรื่อง
ไตรลักษณ์
เรื่องหลักๆ ที่ต้องเรียน ถ้าเรียนเรื่องเหล่านี้แล้วเข้าใจ การภาวนาจะง่ายที่สุดเลย พูดได้ว่าไม่ได้ทำอะไร
ทำตัวเป็นแค่คนสังเกตการณ์ พวกเราสังเกตไหม ในมหาสติปัฏฐาน พระพุทธเจ้าบอกว่าเป็นทางสายเอกสายเดียว เพิ่อความพ้นทุกข์
ลองดูกิริยาในสติปัฏฐาน มีกิริยาหลักอยู่คำเดียวคือคำว่า "รู้" ท่านบอกว่าหายใจออกก็รู้ หายใจเข้าก็รู้ ท่านไม่ได้บอกว่าหายใจออก ให้กำหนดไว้หกฐานเจ็ดฐานห้าฐานสิบฐาน ไม่มีนะ บางทีใช้คำว่ารู้ชัด เช่น ยืนอยู่ก็รู้ชัด เดินอยู่ก็รู้ชัด
คำว่ารู้ ที่ท่านพูดมีความหมายนะ มีความสุขก็รู้ มีความทุกข์ก็รู้ จิตใจเป็นกุศลก็รู้ มีความโลภก็รู้ มีความโกรธก็รู้ มีความหลงก็รู้ ฟุ้งซ่านก็รู้ หดหู่ก็รู้ สังเกตให้ดีนะ มีแต่คำว่ารู้เต็มไปหมดเลยในสติปัฏฐาน จิตมีกามฉันทนิวรณ์ก็รู้ชัด มีพยาบาทนิวรณ์ก็รู้ จิตมีอะไรขึ้นมาก็รู้
ดังนั้น กิริยาที่เป็น
หัวใจของการภาวนา ในทางสายเอกทางสายเดียว คือคำว่า "รู้" นี่เอง คำว่า "รู้" มี
สองนัยยะ
- อันแรก มีสติ
รู้สภาวธรรมที่กำลังปรากฏ คือ รูปธรรม และนามธรรมที่กำลังปรากฏ
- อันที่สอง มีปัญญา
รู้ความจริงของสภาวะรูป และนามอันนั้น ความจริงของสภาวะรูปและนาม ก็คือ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวเรา
ฉะนั้น คำว่ารู้ครอบคลุมนัยยะสองประการ
- อันแรก
รู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้น
- อันที่สอง
รู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นไม่ใช่ตัวเรา รู้อย่างนี้แหละถึงเป็นทางสายเอกทางสายเดียวเพื่อการพ้นทุกข์
ดังนั้น เราต้องฝึกจนสติแท้ๆ คือความระลึกได้เกิดขึ้นมา
สติแท้ๆ เกิดจากจิตจำสภาวะได้ จิตจำสภาวะได้เพราะหัดตามรู้สภาวะบ่อยๆ
- หัดตาม
รู้กาย บ่อยๆ
- หัดตาม
รู้เวทนา บ่อยๆ
- หัดตาม
รู้จิต บ่อยๆ
- หัดตาม
รู้สภาวธรรมทั้งรูปธรรม นามธรรม บ่อยๆ
ดังนั้นสติปัฏฐานนี่จริงๆ แล้วมี
สองขั้นตอน
-
ขั้นตอนที่หนึ่ง รู้กาย เวทนา จิต ธรรม ไปเรื่อยๆ เพื่อให้จิตจำสภาวะได้ แล้วสติจะเกิดขึ้นเอง ดังนั้น สติปัฏฐาน
ในเบื้องต้นทำให้เกิดสติ เรารู้เห็นร่างกายยืนเดินนั่งนอน คอยรู้สึกไป อย่าใจลอย แล้วอย่าเพ่งอยู่ที่กาย ดูจิตใจไป ก็อย่าใจลอย แล้วอย่าเพ่งอยู่ที่จิต รู้เวทนาก็อย่าใจลอยไป แล้วอย่าไปเพ่งเวทนา
สิ่งที่ผิด มีสองอัน คือ
เผลอไปกับ
เพ่งเอาไว้ เพ่งแล้วจะนิ่ง ไม่สามารถรู้สภาวะตรงตามความเป็นจริงได้
ดังนั้น
สติปัฏฐานเบื้องต้นก็รู้กาย เวทนา จิต ธรรมไป แต่แบบไม่เพ่ง แล้วก็ไม่ใจลอย ลืมมันไป รู้บ่อยๆ เท่าที่รู้ได้จนจิตจำสภาวะได้แล้วสติจะเกิดขึ้น นี่เป็นสติปัฏฐานขั้นที่หนึ่ง
- (
ขั้นตอนที่สอง) เมื่อสติเกิดขึ้นแล้วจิตใจตั้งมั่น สัมมาสมาธิเป็นสิ่งจำเป็น จิตใจที่ตั้งมั่นตรงนี้ต้องเรียนนะ บทเรียนเรื่องสัมมาสมาธิอยู่ในเรื่องจิตตสิกขา เรื่องสีลสิกขา จิตตสิกขา ปัญญาสิกขา ต้องเรียนให้ครบนะ ต้องเรียนจนกระทั่งจิตใจของเราตั้งมั่นเกิดสัมมาสมาธิ ไม่ใช่มิจฉาสมาธิ สมาธิที่พวกเราฝึกมันเป็นมิจฉาสมาธิเป็นส่วนมาก เป็นสมาธิเพ่งจ้องบังคับ
สัมมาสมาธิเป็นสมาธิที่จิตตั้งมั่น สักว่ารู้สักว่าเห็นสภาวธรรม ตั้งมั่นกับตั้งแช่ลงไปไม่เหมือนกันนะ ถ้าจิตใจเราตั้งมั่นมีสติระลึก
รู้รูป มีสติระลึก
รู้นาม จะเกิดปัญญาขึ้นมาเห็นความจริงของรูปของนาม
ดังนั้น
สติปัฏฐานเบื้องปลายนี่ทำไป
เพื่อให้เกิดปัญญา มีสติระลึกรู้รูปรู้นาม รู้กายรู้ใจ ลงไปด้วยจิตที่ตั้งมั่นเป็นกลางก็จะเกิดปัญญาขึ้นมา ต้องมีจิตที่ตั้งมั่นเป็นกลาง คือสัมมาสมาธิถึงจะเกิดปัญญานะ เพราะสัมมาสมาธิเป็นเหตุใกล้ให้เกิดปัญญา ถ้าขาดสัมมาสมาธิจิตไม่ตั้งมั่นเป็นผู้รู้ผู้ดูละก็ ไม่เกิดปัญญาหรอก จะเป็นผู้เพ่งผู้จ้องผู้บังคับ ปัญญาที่เกิดขึ้นก็คือ การเห็นกายเห็นใจเป็นไตรลักษณ์นั่นเอง
เบื้องต้นเห็นก่อนว่า
ไม่ใช่เรา พอเห็นตรงนี้นะ จิตบรรลุธรรม เป็นพระโสดาบัน ตัวเราไม่มี รู้กายรู้ใจต่อไป เห็นกายนี้ทุกข์ล้วนๆ เลยนะ
จิตปล่อยวางความยึดถือกาย เป็นพระอนาคามี สุดท้ายจิตมันจะรวมลงมาอยู่ที่จิต มารู้อยู่ที่จิต เรียนรู้จนกระทั่ง
ปล่อยวางจิต จะสมมุติเรียกว่าพระอรหันต์ ใช้คำว่าสมมุตินะ พระอรหันต์ไม่เคยรู้สึกว่ามีพระอรหันต์เป็นของสมมุติขึ้นมา
นี่คือเส้นทางแห่งการพ้นทุกข์ เป็นทางสายเอกทางสายเดียวที่เราต้องเรียน แต่ละจุดแต่ละมุมจะมีแง่มุมที่ต้องเรียนเป็นรายๆ ไปนะ นี่หลวงพ่อพูดในภาพรวมให้ฟังไว้ก่อน
พ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช