“ฝึกจิตด้วยสติ บังคับจิตให้อยู่ในปัจจุบัน”
ฝึกจิตด้วยสติ เอาสติบังคับจิตให้อยู่ในปัจจุบัน หลักของสติ ก็คือ ให้จิตอยู่ในปัจจุบัน เพราะเหตุการณ์เกิดในปัจจุบัน ไม่เกิดในอดีต ไม่เกิดในอนาคต
เพียงแต่จิตเราส่งไปในอดีตเอง ส่งไปในอนาคตเอง ขณะที่ส่งไปก็เป็นการกระทำในปัจจุบัน เราปรุงแต่งขึ้นมา ปรุงถึงอดีตปรุงถึงอนาคต เป็นตัวสังขารและตัวสัญญาที่ทำงาน
พอนึกถึงเมื่อวานนี้ ก็คิดไปแล้วว่าได้ทำอะไรบ้าง ได้เจอใครบ้าง นึกคิดอยู่ในปัจจุบัน แต่จิตคิดว่าอยู่ในอดีต อะไรเกิดขึ้นในปัจจุบันก็จะไม่รู้สึกตัว เดินไปแล้วคิดไปอย่างนี้ เผลอเดินไปชนเสาโดยไม่รู้ตัว ถ้ามีสติจะรู้อยู่กับการเคลื่อนไหวในปัจจุบันเสมอ เช่นการเคลื่อนไหวของร่างกาย เดินจะได้ไม่ลื่นหกล้มหรือไปชนอะไร
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
***************************
"อารมณ์อดีต-อนาคต ไม่เป็นที่ตั้งแห่งสติ"
กำหนดความรู้สึกที่กาย จะได้ปัจจุบันอารมณ์ ความรู้สึกที่กายจะเป็นปัจจุบันอารมณ์ตลอด จงกำหนดสติที่กาย
- กำหนดสติที่ลมหายใจ เรียกว่า อานาปานสติ
- กำหนดสติที่การเคลื่อนไหวของกาย เรียกว่า เจริญสติในอิริยาบถ
สติในปัจจุบันอารมณ์มีค่าอย่างยิ่งต่อท่านผู้ปฏิบัติธรรม จะเป็นจุดเริ่มต้นแก่กรรมฐานทั้งหลาย จะเป็นบ่อเกิดของธรรมทั้งหลายมีโพธิปักขิยธรรม ๓๗ เป็นต้น
ถ้าปล่อยใจไปอดีต อนาคตจะเป็นที่ตั้งแห่งธรรมไม่ได้ ปัจจุบันอารมณ์เป็นที่ทำงานของท่านผู้ปฏิบัติธรรม ปฏิบัติไปถึงไหนก็อย่าทิ้งปัจจุบันอารมณ์ ปัจจุบันอารมณ์เป็นตาน้ำแห่งธรรมทั่งปวง
หลวงพ่อชุมพล พลปญฺโญ
**************************
ปัจจุบันอารมณ์ เป็นที่รวมแห่งธรรมทั้งหมดทั้งปวง
ผู้ใดปรารถนาจะรู้ธรรม และได้ วิธีการปฏิบัติธรรมที่ง่าย ลัดสั้น ไม่มีเรื่องต้องศึกษา จดจำมาก ไม่ยุ่งยากด้วยคำศัพท์ บาลี สันสกฤต ไม่มีอะไรให้ต้องขบคิดและสงสัย ก็จงได้มาปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา โดยเอาปัจจุบันธรรมเป็นอารมณ์ก็อาจสามารถทำพระนิพพานให้แจ้ง พาตนให้พ้นทุกข์เข้าถึงมรรค ผล พ้นวัฏฏะสงสารได้ทันในปัจจุบันชาตินี้
วิธีภาวนากับปัจจุบันอารมณ์
ให้ทำภาวนาในอิริยาบถ 3 คือ นั่ง ยืน นอน ท่าใดท่าหนึ่งก็ได้ เริ่มต้นด้วยความตั้งใจว่าจะเอาสติ ปัญญามาตั้งรู้ ตั้งสังเกตอยู่เฉพาะที่ปัจจุบันอารมณ์ แล้วหลับตา ลงมือทำภาวนา
- สติ จะทำหน้าที่รู้ทันปัจจุบันอารมณ์ ระลึกได้ ไม่ลืม
- ปัญญาสัมมาทิฐิ จะทำหน้าที่ รู้ ตามปัจจุบันอารมณ์
- ปัญญาสัมมาสังกัปปะ จะทำหน้าที่ สังเกต ปัจจุบันอารมณ์
ความรู้ทัน รู้ และสังเกตปัจจุบันอารมณ์นี้ จะต้องไม่มีความคิดนึกมาเกี่ยวข้องด้วย เฝ้ารู้ และสังเกตสภาวธรรมที่เกิดขึ้นแต่ละอารมณ์ไป จนอารมณ์นั้นดับไปต่อหน้าต่อตา รักษาการภาวนาตามหลักนี้ไปให้ได้นานๆ ในการภาวนาแต่ละรอบ
แล้วผู้ภาวนาจะได้รู้ว่า ธรรมต่างๆตามหลักโพธิปักขิยธรรมทั้ง ๓๗ ประการ เขาจะเกิดขึ้นมาเองเป็นลำดับ ๆ โดยอัตโนมติ เริ่มต้นจาก สติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปทาน ๔ อิทธิบาท ๔ ต่อขึ้นไปถึง อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชงค์ ๗ และ มรรค ๘ ซึ่งมีรายละเอียดที่จะแสดงให้ทราบต่อไป เชิญศึกษาและทำความเข้าใจกันด้วยตนเองทุกท่านเทอญ
.............
**********************
ให้จิตอยู่กับปัจจุบันตลอดเวลา ทุกข์จะไม่สามารถเกิดขึ้นได้ หากมันวิ่งไปในอดีต หรืออนาคต พอรู้สึกตัวก็ดึงมันกลับมาอยู่กับปัจจุบันอีก ทำเช่นนี้อยู่ตลอดเวลา เท่าที่จะทำได้ จนเกิดความชำนาญเป็นปกติธรรมชาติในปัจจุบันตลอดสาย ทุกข์จะไม่สามารถเกิดขึ้นในจิตได้เลย ดังนั้นพระพุทธองค์จึงให้ภาวนา ภาวนา คือการมีสติรู้สึกตัวในสัมปชัญญะ คือ กาย และจิตใจตั้งแต่หัวถึงเท้า
รู้กายทั่วพร้อมตลอดเวลาว่าปัจจุบันนั้นเป็นอย่างไร
กายอยู่ที่ไหน ให้ใจอยู่นั่น มันกำลังทำอะไรอยู่ นั่งรู้ ยืนรู้ เดินรู้ กินรู้ นอนรู้ ทำอะไร ๆ ก็รู้ ปัจจุบันนั้นตลอดเวลานี่คือ มรรคจริง ๆ ให้เฝ้ารู้ เฝ้าเห็นการกระทำของกายจิตที่ตามรู้ปัจจุบันตลอดสาย มันก็จะสงบ แล้วรวมกันมาก ๆ เข้า ก็เกิดเป็นสมาธิ โดยไม่รู้ตัวมีอารมณ์เดียว คือ ปัจจุบันนั่นเอง อารมณ์เดียวนี้ไม่ส่งอดีต อนาคต ซึ่งเราอาจจะเรียก ชื่อว่าเอกัคตารมณ์ ก็ได้
เมื่อจิตเห็นความแตกต่างระหว่างจิตที่สงบและ จิตวุ่นด้วยตัวจิตเองแล้ว ปัญญาจะเกิดขึ้นทันที
หลวงพ่อแต้ม อคฺคญโญ