Recent Posts

ดึงจิตสู่ "ปัจจุบันอารมณ์"


          เมื่อสติเราเจริญมากขึ้นมากขึ้น ดึงจิตเรามาสู่ปัจจุบันอารมณ์ ก็เพื่อจะมาแจ่มแจ้งในวิปัสสนาภูมิที่กล่าวไว้แต่แรก ฐานที่ตั้งแห่งวิปัสสนาตัวแท้คือ ปัจจุบันขณะ ขณะที่ตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้มได้รส กายถูกต้อง โผฏฐัพพะ โผฏฐัพพะคือความเย็น ความร้อน ความอ่อน ความแข็ง ความตึง ความหย่อน ที่มากระทบกาย อันนี้รวมเรียกว่าโผฏฐัพพะ แล้วก็ใจกระทบธรรมารมณ์

          เราเจริญสติก็เพื่อที่จะออกจากอดีตอนาคต ออกจากภาษามนุษย์ มาหยั่งลงในวิปัสสนาภูมิ ในปัจจุบันอารมณ์นั้น ๆ ให้มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ หยั่งรู้ตามฐานอันเป็นที่ตั้งแห่งสติ คือฐานกายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต และธรรมในธรรม เพื่อสติมันจะได้เห็นอย่างลึกซึ่งในความเป็นจริง ในความเป็นจริงของอะไรล่ะ

          ในความเป็นจริงที่ว่าขณะกระทบอารมณ์น่ะ รูปธรรม และนามธรรมที่มารวมกัน มาประกอบกัน ตามทวารทั้ง ๖ ทวารใดทวารหนึ่ง มันไม่เที่ยงทั้งนั้น ไม่มีอะไรเที่ยงเลย หาความเที่ยงไม่ได้ หาความเที่ยงไม่มี ไม่มีแล้วไม่มีอีก ไม่มีอยู่อย่างนั้นแหละ ไม่มีความเที่ยง

          ยิ่งเราเจริญสติให้คมมากเท่าไร ยิ่งจะเห็นแต่ความไม่เที่ยง เห็นแต่ความเกิดดับ คำว่าความเกิดดับจะเป็นคำที่ซึ้งอยู่ในกระดูก อยู่ในเยื่อในกระดูกของผู้ปฏิบัติ เพราะมันจะเห็นอยู่อย่างนี้ ทั้งวันทั้งคืนทั้งตื่นทั้งหลับ ด้วยความที่จิตไม่ไปหมกหมุ่นอยู่ในอดีต ด้วยความที่จิตไม่ถูกชักจูงให้ไปปรุงแต่เรื่องอนาคต จิตที่อยู่ในปัจจุบันอารมณ์ เจริญสติอยู่จะเห็นแต่ความไม่เที่ยง ไม่มีอะไรเลย ไม่มีอะไรที่ยึดได้ ไม่มีอะไรที่จะตั้งอยู่นานเลย มีแค่รู้ขณะหนึ่งแล้วก็ดับไป รู้ขณะหนึ่งแล้วก็ดับไป

          เมื่อเราเห็นความไม่เที่ยงมาก ๆ เข้า อันนี้โลกมันจะว่าง เพราะไม่รู้จะไปยึดอะไร จะมาบีบบังคับให้จิตที่เห็นความไม่เที่ยง ยึดโน่นยึดนี่ ก็ยึดไม่ลง มันไม่รู้จะยึดไปทำไม เหมือนมีอะไรมาบอกอยู่ตลอดเวลา ทั้งวันทั้งคืน ถึงความไม่มีแก่นสาร สาระของรูปธรรมนามธรรม แล้วจิตดวงนั้น มันจะไปยึดอะไรได้

          เพราะฉะนั้น การที่เราจะปฏิบัติให้พ้นทุกข์ จะต้องพัฒนาจิตดวงนี้ให้เป็นจิตดวงที่ปล่อย จิตดวงที่ไม่ยึด ไอ้ที่บอกว่าไม่ยึดนี่ไม่ใช่ไปฟังใครเขามา เราต้องรู้เองเห็นเอง จากการปฏิบัติ จนมันสว่างแจ้งโพลงขึ้นมาเองว่า ไม่รู้จะไปยึดทำไม มันไม่รู้จะไปยึดทำไม อันนี้ต้องเกิดขึ้นมาเองในจิตของผู้ปฏิบัติ มันจะเป็นที่พึ่งได้ เป็นที่พึ่งแก่เรายังไง เหมือนกับเราเดินผ่านไป ผ่านกองขยะก็ตาม ผ่านหลุมส้วม หลุมขี้ หลุมเยี่ยวก็ตาม มองด้วยตาแล้ว ไม่เห็นจะมีอะไรได้เรื่องได้ราวสักอย่าง เดินผ่านมา ผ่านกองขยะตั้งกองใหญ่เบ้อเริ่มเลย แต่ไม่รู้จะหยิบอะไรติดไม้ติดมือกลับมา มันไม่มีอะไรมีค่า มีแต่ของไร้สาระทั้งนั้น ไร้แก่นสาร เพราะความที่ว่าเป็นของที่ตั้งอยู่ขณะเดียว เป็นของที่ถูกกำหนดเอาไว้ด้วยความเกิดและความดับ เป็นของที่สั่นไหว เป็นของที่ไม่จีรังยั่งยืนไม่เที่ยงแท้ ค้านต่อความเที่ยงแท้ มันแสดงให้เห็นในความรู้สึกทางมโนทวารของผู้ปฏิบัติอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน เห็นอย่างนี้ตลอด เห็นตลอด เห็นแล้วเห็นอีก ยิ่งปฏิบัติก็เห็นแต่อย่างนี้

          เพราะฉะนั้น บุคคลผู้เห็นไตรลักษณ์จะมีค่าตรงนี้ เจริญสติปัฏฐานจนมาได้เห็นไตรลักษณ์ เห็นแล้วเห็นอีก เห็นแล้วเห็นอีก เห็นแล้วเห็นอีก จนจิตที่เคยเป็นจิตที่กอดรัด จิตที่ผูกพันกับอารมณ์ หมกมุ่นด้วยความหลงมัวเมาในอารมณ์ทั้งปวง กลายเป็นจิตที่เบื่อหน่ายคลายกำหนัด อยากจะหลุดพ้น อยากจะปล่อย อยากจะละ อยากจะวาง จากเหตุแห่งทุกข์ ความผูกพันยึดมั่น มั่นหมาย ในอารมณ์ทั้งปวง

          เมื่อบุคคลมีปัญญาขึ้นมา มันจะลดน้อยถอยลงทุกที ความผูกพันในอารมณ์ต่าง ๆ จะสักแต่ว่ากระทบ อยู่ในโลกนี้เหมือนกับแสดงละครไป อยู่เหมือนซังกะตาย ตราบใดที่ยังไม่ตายก็อยู่ในโลกไปอย่างนั้นแหละ แต่จิตเรามันเปลี่ยนไปแล้ว จิตที่เคยเป็นทุกข์กับสิ่งที่มากระทบ กลายเป็นจิตที่ไม่เป็น ทุกข์กับสิ่งที่มากระทบ อันนี้เป็นอานิสงส์ เป็นผลประโยช์แก่ผู้ที่มีความเพียรในการเจริญสติปัฏฐาน

ที่มา : หนังสือสันติรำลึก หน้า 296-300
หลวงพ่อชุมพล พลปญโญ