Recent Posts

"รู้" ที่ตัว [สติที่รู้เนื้อรู้ตัวอยู่]


          คำสอนเรื่องความรู้ตัว เป็นสิ่งที่เข้าใจยากมาก นักปฏิบัติจำนวนมาก ไปกำหนดรู้อารมณ์ในขณะที่จิตกำลังหลง กำลังเคลื่อน กำลังฝัน แต่หลงคิดว่ากำลังรู้ตัวอยู่

          แม้จะขยับมือตามจังหวะ ก็หลงอยู่กับความคิดเรื่องการเคลื่อนไหวมือบ้าง หรือจิตเคลื่อนเข้าไปเพ่ง/แช่ อยู่กับมือบ้าง

          ปัญหาเกี่ยวกับการทำความรู้จักกับ ความรู้ตัว จึงเป็นปัญหาใหญ่ที่สุดสำหรับนักปฏิบัติทั้งหลาย

          หากผู้ปฏิบัติมีความรู้ตัวขึ้นเมื่อใด รูป เวทนา สัญญา และสังขาร จะกลายเป็นสิ่งที่ถูกรู้ และไม่ใช่ตัวเราในทันทีนั้น และในระหว่างที่รู้ตัวอยู่นั้น ก็จะเห็นความเจริญและความเสื่อมของจิตอยู่เสมอ เป็นการป้อนข้อมูลที่เป็นจริงให้จิตได้เรียนรู้

          สวนทางกับความหลงผิดเก่าๆ ของจิต ที่เห็นว่าขันธ์ 5 เป็นเรา เราเป็นขันธ์ 5 เมื่อจิตได้เห็นความจริงมากเข้าๆ จนยอมจำนนต่อข้อเท็จจริงแล้ว จิตจึงจะยอมรับความจริงว่า สิ่งใดเกิดขึ้น สิ่งนั้นก็ดับไป และไม่มีสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ที่จะเป็นตัวเรา ของเรา อย่างแท้จริง

          ปราศจากความรู้ตัว ผู้ปฏิบัติจะเข้ามาถึงจุดที่ว่านี้ไม่ได้เลย

โดยคุณ สันตินันท์ (นามปากกาของหลวงพ่อปราโมทย์ก่อนบวช)
เมื่อวัน พุธ ที่ 31 พฤษภาคม 2543

********************

ความรู้ตัวทั่วพร้อม

          เรื่องความรู้ตัวทั่วพร้อมนี้ เป็นเรื่องที่เข้าใจผิดกันมาก คิดว่าต้องรู้กายทั้งตัว พร้อมกับรู้จิตไปด้วย ซึ่งตามธรรมชาติของจิตแล้ว ย่อมรู้อารมณ์ได้ทีละอย่างเท่านั้น มันจะมีอาการอย่างที่เห็นนั่นเอง ว่ารู้ไปทีละอย่างๆ

          ทีนี้เมื่อพูดว่า จิตรู้ได้ทีละอย่าง บรรดานักเพ่งทั้งหลายก็จะไปเพ่งกายส่วนใดส่วนหนึ่ง เช่น เพ่งมือ เพ่งเท้า ครูอาจารย์ก็พยายามแก้ให้ บอกว่าอย่าไปเพ่งอย่างนั้น ให้รู้ไปสบายๆ ทั้งตัว เพื่อจะแก้อาการเพ่ง

          ทีนี้บางคนพอรู้ทั้งตัวแล้ว ก็กลายเป็นเพ่งทั้งตัวอีก ครูอาจารย์ก็เลยสอนอีกว่า ให้รู้จิตใจตนเองไว้ ว่ามันกำลังเผลอเพ่งอยู่ คราวนี้นักปฏิบัติก็หันมาเพ่งจิตต่อไปอีก เพราะชอบเพ่งอยู่แล้ว เพราะครูอาจารย์ให้รู้อะไร ก็เพ่งอันนั้น

          เมื่อทำอันนั้นก็ไม่ถูก ทำอันนี้ก็ไม่ถูก คราวนี้ผู้เรียนก็ยิ่งสับสนหนักเข้าไปอีก ว่ารู้ตัวทั่วพร้อมทำไมมันต้องรู้อะไรมากมายนัก เช่น รู้ มือ เท้าที่เคลื่อนไหวแล้ว ก็ยังต้องรู้กาย ทั้งกายอีก แล้วยังต้องรู้ทันจิตใจตนเองอีก ใครจะไปทำได้ เพราะจิตนั้นย่อมรู้อารมณ์ได้เพียงทีละอย่างเท่านั้น

          อันที่จริงไม่ใช่ต้องไปรู้อะไรมากมายอย่างนั้น ถ้ารู้ทันจิตตนเอง ไม่เผลอ (รวมทั้งไม่เผลอเพ่ง) อันเดียวก็พอแล้ว เช่น เดินจงกรมไปเรื่อย ๆ แรก ๆ ก็รู้การเคลื่อนไหวของเท้า หรือของกายไปอย่างสบายๆ อย่าเผลอเพ่งลงในเท้าหรือในกาย

          ต่อมาพอจิตมีกำลังขึ้น จิตมันจะมาเห็นอารมณ์ หรืออาการของจิตในส่วนที่เป็นนามธรรมได้ เช่น เดินไปแล้วก็เห็นความฟุ้งซ่านในจิต เห็นว่าความฟุ้งซ่านไม่ใช่จิต แล้วความฟุ้งซ่านก็ดับไป ก็เห็นอีกว่าจิตสงบก็รู้เท่ารู้ทันจิตใจเรื่อยๆ ไป

          สักพักจิตก็คิดและหนีไปเที่ยวอีก ก็ให้คอยรู้ทันว่าจิตฟุ้งซ่าน และหนีเที่ยว ถ้าดูแล้วมันก็ยังฟุ้งจนสู้ไม่ไหว ก็กลับมารู้การเคลื่อนไหวเท้าของเราต่อไปอีก โดยไม่ให้จิตจมลงในเท้า

          ความรู้ตัวทั่วพร้อม จึงไม่ใช่การรู้อะไรทีละหลายๆ อย่าง แต่หมายถึงการรู้โดยไม่หลง เช่น รู้เท้าเคลื่อนไหว โดยจิตไม่หลงไปที่เท้า หรือบางคนกำหนดลมหายใจ ก็รู้ลมหายใจโดยจิตไม่หลงไปกับลมหายใจ

          เรื่องการฝึกปฏิบัตินั้นไม่ต้องฝึกมากเรื่องหรอก ฝึกความไม่หลงอันเดียวเท่านั้นก็พอแล้ว เหมือนที่พระพุทธเจ้าท่านสอนพระรูปหนึ่งว่า ให้เจริญสติรักษาจิตตนเองอย่างเดียวก็พอแล้ว เพราะเท่ากับปฏิบัติตามคำสอนของพระองค์ท่านครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว

โดยคุณ สันตินันท์ (นามปากกาของหลวงพ่อปราโมทย์ก่อนบวช)
เมื่อวัน พฤหัสบดี ที่ 31 สิงหาคม 2543