เราควรจะรู้กาย หรือเราควรจะรู้ใจนี่ ไปดูตัวเองว่าเรารู้อะไรแล้วสติเกิดบ่อย ไปรู้อันนั้น แล้วเราก็เรียนรู้ลองผิดลองถูกของเราไป แต่อย่าลืมหลักที่พระพุทธเจ้าสอน
ลองผิดลองถูก เช่น เราภาวนาไปเราไปเจอตัวผู้รู้ขึ้นมา บางคนภาวนาแล้วเกิดตัวผู้รู้ เราไปจ้องใส่ตัวผู้รู้เอาไว้ จ้องไปหลายๆ วันนะ ถ้ามีโยนิโสมนสิการจะรู้ว่าไม่ถูกแล้ว นี่ผิดอีกแล้ว เอาใหม่
ภาวนาใหม่ตามหลักที่หลวงพ่อสอน ให้รู้กายให้รู้ใจตามความเป็นจริง รู้กายรู้ใจไปซื่อๆ ตามความเป็นจริงได้สักพักเดียวนะ เริ่มกระบิดกระบวนแล้ว เริ่มมีกระบวนท่าปรุงแต่งแล้ว เอ๊ ทำอย่างนี้น่าจะดีกว่าเก่า น่าจะดีกว่ารู้เฉยๆ นะ ลองทำอย่างนี้ดู เอาจิตไปไว้ที่เหนือสะดือหนึ่งนิ้วครึ่งสามกระเบียด อะไรอย่างนี้ อย่างนี้ท่าจะดีหรือเอียงข้างซ้ายอีกสององศา ลองดู เอ๊ เข้าทีแฮะ ทำไปหลายๆ วัน เอ๊ ใจชักโง่ๆ อย่างไรชอบกล อะไรอย่างนี้
มันต้องสังเกตนะ เราจะลองผิดลองถูกไปเรื่อย แล้วหลวงพ่อจะเฉลยให้เลย พวกเราไม่ได้ลองถูกหรอก พวกเราจะลองผิดตลอด เพราะไม่ว่าลองอย่างไรนะ ตัณหามันพาให้ลอง ลองอย่างนี้สิน่าจะดี ลองอย่างนี้สิน่าจะดี รับรองที่ลองผิดลองถูกน่ะ ลองผิดแน่นอน
เราเรียนรู้สิ่งที่ผิดไปเรื่อยๆ นะ อย่าตกใจ เรียนรู้สิ่งที่ผิดมากเข้าๆ เราจะรู้เลย ไอ้นี่ผิดๆ ๆ ที่ถูกอยู่ต่อหน้าต่อตานี่เอง ที่ถูกไม่ได้อยู่ไกลๆ ที่ต้องไปเที่ยวแสวงหาอย่างที่นึกเอาไว้ ทุกวันนี้เที่ยวแสวงหาสิ่งที่ถูกนะ อยากได้ อยากได้ธรรมะเที่ยวแสวงหาใหญ่ ทำอย่างไรจะถูกๆ หยุดทำต่างหากล่ะถึงจะถูก ทำไมหยุดได้ เพราะมันฉลาด มันโง่มานาน มันรู้ว่าทำอย่างนี้ก็ผิดๆ
หลวงพ่อปราโมทย์
************************
"จับหลักธรรมะให้ได้ เรื่องไม่มีอะไร นอกจาก...ระวัง! เรื่องที่จะเข้ามาใน“จิต” ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจอะไรก็ตาม และ อย่าให้เรื่องนั้นมันเข้าไป “ปรุงแต่ง” ใน“จิต” เป็น “ตัวกู ของกู” เท่านั้นเอง มีเท่านั้นเอง สูตรไหน ก็สูตรนั้นมีความมุ่งหมายอย่างนี้"
พุทธทาสภิกขุ