จิตที่ดีที่สุดคือ จิตธรรมดา
เราไปวาดภาพการปฏิบัติ ว่าต้องทำอะไรที่เกินธรรมดา ใช้จิตธรรมดาดูไป จนเห็นธรรมดาของมัน ว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
ทำอย่างไรจึงรู้ตัวได้บ่อยขึ้น ?
แทนที่จะพยายามรู้ตัวให้บ่อยขึ้น ขอให้พยายามรู้ว่าหลง เผลอ เพ่ง คิด ให้ไวขึ้นก็พอแล้วครับ เพราะทันทีที่รู้ตัวว่าเผลอ หรือเพ่ง ขณะนั้นรู้ตัวเรียบร้อยแล้วครับ ถ้าไปพยายามรู้ตัว เดี๋ยวจะเผลอไปสร้างความรู้ตัว(ปลอมๆ) ขึ้นมาครับ
โดยคุณ สันตินันท์ (นามปากกาของหลวงพ่อปราโมทย์ก่อนบวช)
******************
"เวลาเราฝึกกรรมฐานนะ ให้จิตมีเครื่องอยู่สักอันหนึ่ง ถ้ามันเผลอไปก็รู้ทัน มันไปเพ่งอยู่ก็รู้ทัน ฝึกเรื่อย ๆ ตัวรู้จะเด่น เมื่อได้ตัวรู้แล้ว ถัดจากนั้นมาเดินปัญญา"
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
******************
สิ่งที่ผิดมี ๒ อันเท่านั้น คือ เผลอ กับ เพ่ง
สิ่งที่ผิดมี ๒ อันเท่านั้นแต่ว่าครองโลกเลย เผลอกับเพ่ง ใจจะเผลอ ๆ ๆ ลืมตัวเองไปด้วย อีกอย่างนึงก็นั่งเพ่งเอาไว้ นิ่ง เผลอก็ไม่ได้รู้สึกตัว เพ่งก็ไม่ได้รู้สึกตัว เผลอหย่อนเกินไป เพ่งตึงเกินไป เผลอเป็นกามสุขัลลิกานุโยค เพ่งเป็นอัตตกิลมถานุโยค ความสุดโต่ง ๒ ฝั่ง ตรงกลางที่ไม่เผลอ ไม่เพ่งก็คือ "รู้"
พยายามรู้ตัวรู้สึกตัวเรื่อยๆ พุทโธไปก็ได้ใจหนีไปคิดรู้ทัน หายใจไปใจหนีไปคิดรู้ทัน ดูท้องพองยุบใจหนีไปคิดรู้ทันอันนี้มันเผลอไป พุทโธแล้วก็ไปบังคับจิตให้นิ่งให้รู้ทันอันนี้เพ่งไป หายใจแล้วจิตไปเกาะนิ่งอยู่กับลมหายใจไปเกาะอยู่ที่ท้องอันนี้ก็ตึงเกินไป ให้รู้ทัน เดินจงกรมจิตไหลไปอยู่ที่เท้าอันนี้ก็ตึงเกินไป เดินจงกรมนะเพ่งกายทั้งกายเห็นร่างกายเดินนะแต่ดูแบบเคร่งเครียดเนี่ยรู้สึกทั้งตัวรู้สึกทั้งตัว อันนี้ก็ตึงเกินไป ไปเพ่งไว้ที่เท้าอันเดียวก็ตึงเกินไป เพ่งร่างกายทั้งร่างกายก็ตึงเกินไป ใจมันตึงเครียด เดินจงกรมจิตหนีไปคิดอันนี้หย่อนเกินไป ให้คอยรู้ทัน จิตหย่อนเกินไปให้รู้ทัน จิตตึงเกินไปให้รู้ทัน แล้วตรงไหนที่พอดี ตรงที่รู้ทันไงง่ายนิดเดียวเห็นมั้ย ไม่ได้บอกว่าห้ามตึงห้ามหย่อนนะ บอกตึงไปก็รู้ทันหย่อนไปก็รู้ทัน แล้วตรงไหนพอดี ตรงที่รู้ทันนั่นแหล่ะพอดี
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
******************
เพ่งจิตไว้ เจริญปัญญาไม่ได้
วิธีที่จะทำให้ได้จิตผู้รู้ ก็คือ รู้ทันจิตที่หลงไปคิดนี่แหละ จิตเผลอ ตอนแรกพอรู้ทันว่าหลงไปคิดก็จะกลับมาเพ่ง เพ่งไปก่อนไม่เป็นไร เราก็รู้ว่าเพ่งเอา ต่อไปหลงไปคิดใหม่รู้ใหม่ หลงไปคิดใหม่รู้ใหม่ อย่าเพ่งตลอดกาล ถ้าเพ่งตลอดกาลเดี๋ยวมันไม่ยอมเผลอ ให้มันเผลอไว้ เผลอแล้วรู้ว่าเผลอดีที่สุดเลย ดีกว่าไปเพ่งไว้ไม่ยอมเผลอเลย ไปไหนไม่รอดนะ อยู่แค่นั้นแหละ กี่ปีกี่ชาติก็อยู่อย่างนั้นแหละ
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
******************
เผลอ เพ่ง
วิธีการปฏิบัตินะ มันก็มีเป็นขั้นๆไปเหมือนกัน ขั้นแรกเลยก็ต้องหัดรู้สึกตัวให้เป็น คนรู้สึกตัวไม่เป็นนะ มันเดินปัญญาไม่ได้ รู้สึกตัวไม่เป็นก็หลงไป ถ้าไม่หลงไปก็นั่งเพ่งไว้ทั้งวัน คนส่วนใหญ่ที่เขาภาวนากัน เขาเอาแต่นั่งเพ่งกัน ไปที่ไหนก็เจอแต่นักเพ่ง เพ่งแล้วกายก็นิ่งใจก็นิ่ง ก็ได้แค่นั้นแหละ กี่ปีมันก็อยู่แค่นั้นแหละ เพ่งมาวันนี้สงบนะอีกหน่อยก็ฟุ้ง ฟุ้งแล้วก็ไปทำความสงบใหม่ ไปเพ่งอีกก็สงบ กลับไปกลับมาไม่มีอะไรขึ้นมา ก็ได้แค่นั้น
จะต้องกลับมารู้สึกตัวให้เป็น ไม่ใช่เผลอไป ไม่ใช่เพ่งเอาไว้ เผลอไปเนี่ยหย่อนไป เพ่งเอาไว้นี่ตึงเกินไป เผลอเนี่ยตามใจกิเลส กิเลสลากไปทางตาทางหูทางจมูกทางลิ้นทางกายทางใจโดยเฉพาะลากทางใจคือลากไปคิด ลืมตัวเอง ใช้ไม่ได้ เพ่งเอาไว้นะ เพ่งออกข้างนอกก็ได้ เพ่งพระ เพ่งเทียน เพ่งลูกแก้ว เพ่งใบไม้ เพ่งน้ำ เพ่งออกนอกก็ได้ เพ่งร่างกายก็ได้ เช่น เพ่งลมหายใจ เพ่งท้องพองยุบ หรืออิริยาบถ ๔ ยืนอยู่ก็เพ่งอยู่ทั้งตัว นั่งอยู่ก็เพ่งทั้งตัว นอนอยู่ก็เพ่งทั้งตัว เดินก็เพ่งตัวแข็งๆ ใจแข็งๆตัวแข็งๆ หรือเพ่งทางใจก็ได้ น้อมจิตให้นิ่ง รักษาจิตให้นิ่งอยู่ในอารมณ์อันเดียวเลย ไม่ให้จิตคิดนึกปรุงแต่ง บังคับจิตให้นิ่ง สงบ อันนั้นก็คือเพ่ง ถ้าเผลอไปคือไม่สามารถรู้กายรู้ใจได้ ถ้าเพ่งไว้เนี่ย กายก็นิ่งใจก็นิ่ง ไม่แสดงไตรลักษณ์
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
******************
- ผู้เผลอ ลืมกายลืมใจ ที่ไปของเราก็คือ ทุคติ
- ผู้เพ่ง บังคับกายบังคับใจไว้ ที่ไปของเราในอนาคตคือสุคติ แต่ไม่ไปนิพพาน
เพราะฉะนั้นการที่เราบังคับกายบังคับใจเรื่อยไป ไม่ตกนรกหรอก ดี..แต่มันหยุดอยู่แค่ดีเท่านั้นเอง ไม่สามารถไปถึงนิพพานได้
เพราะฉะนั้นเราอย่าไปสุดโต่งสองฝั่ง ถ้าเราไปสุดโต่งสองฝั่ง ไม่ไปนิพพาน
ครั้งหนึ่งมีเทวดาไปทูลถามพระพุทธเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระองค์ข้ามโอฆะได้อย่างไร โอฆะแปลว่าห้วงน้ำ ก็คือกิเลสทั้งหลายนั้นเอง พระพุทธเจ้าบอกว่า เราข้ามโอฆะได้เพราะเราไม่พักและเราไม่เพียร เทวดาฟังแล้วงง ไม่พักอยู่เนี่ยฟังแล้วเข้าใจ แต่ไม่เพียรฟังแล้วไม่เข้าใจ ก็ถามท่านอีกว่า ไม่พักไม่เพียรเป็นอย่างไร ท่านบอกว่า ถ้าพักอยู่เราจะจมลง ถ้าเพียรอยู่เราจะลอยขึ้น เราไม่พักเราไม่เพียร เราพ้นจากโอฆะข้ามห้วงน้ำได้ด้วยวิธีนี้ ทำไมจมลงไม่ดี จมลงไปทุคติ ฟูขึ้นลอยขึ้น ไปสู่สุคติ ไม่ได้ไปนิพพาน คำว่าไม่พักก็คือไม่ปล่อยตัวปล่อยใจไปตามกิเลส ไม่หลงไปตามกามสุขัลลิกานุโยค เผลอไปนั่นแหละ คำว่าไม่เพียรของท่านก็คือ ไม่ได้ไปเพ่งกายเพ่งใจ เป็นอัตตกิลมถานุโยค เพราะฉะนั้นเราต้องเดินทางสายกลางให้เป็น
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
******************
แนวทางการปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนา
ขั้นแรก เราต้องรู้สึกกายรู้สึกใจให้ได้ก่อน เพราะ วิปัสสนาคือ “การมีสติรู้กายรู้ใจตามความเป็นจริงลงเป็นปัจจุบัน” ต้องรู้สึกกายรู้สึกใจให้เป็น
ขั้นที่สอง “ต้องสามารถปล่อยให้กายให้ใจเขาทำงาน แสดงไตรลักษณ์ได้” การหัดให้มีสติ ก็คือหัดรู้สึกตัว ศัตรูของความรู้สึกตัว ก็คือความหลง ความเผลอนั่นแหละ เผลอไปรู้ เผลอไปฟัง เผลอไปคิด (คือขาดสติ) ศัตรูอีกอย่างหนึ่งก็คือการเพ่งร่างกาย เพ่งจิตใจ (คือบังคับกายบังคับใจ) ซึ่งทำให้กายใจถูกแทรกแซง และแสดงไตรลักษณ์ให้เห็นได้ยาก
ถ้าเมื่อไรเรารู้ทันจิตใจของตัวเอง เราก็จะไม่หลงไปอยู่ในโลกของความคิด เราจะตื่นขึ้นมา ซึ่งเป็นต้นทางที่จะทำให้เราเดินวิปัสสนาได้
พอตื่นขึ้นมาแล้วก็มีเงื่อนไขอีกอย่างเดียวเท่านั้นเอง คือมีจิตที่ตั้งมั่นเป็นสัมมาสมาธิขึ้นมา เราจะเห็นกายตามความเป็นจริง เห็นจิตใจตามความเป็นจริง คือเห็นไตรลักษณ์ ทำวิปัสสนาหรือเจริญปัญญาได้
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
******************
การเจริญสมาธิ เพื่อให้เกิดสัมมาสมาธิ
หลักการคือ " สัมมาสติ เป็นตัวกํากับให้เกิด สัมมาสมาธิ หากขาดสัมมาสติ ย่อมกลายเป็นมิจฉาสมาธิ " สัมมาสติคืออะไร คือที่เรารู้สึกตัวรู้ตัวอยู่ ถ้าเราไม่รู้ตัวเผลอ จะไม่มีสัมมาสมาธิหรอก สัมมาสมาธิจะเกิดเมื่อรู้ตัวไม่เผลอเท่านั้น
เวลาทําสมาธิมี 2 แบบที่เผลอหลักๆ คือ
๑. เผลอไม่รู้ตัวไหลไปกับความคิดอารมณ์ กรณีที่เผลอไหลไปกับความคิดอารมณ์นั้น ชัดเจนอยู่แล้วว่าไม่ได้อะไรไม่ได้สมาธิแน่ๆ เพราะมัวแต่ไหลไปกับความคิดอารมณ์
๒. เผลอเข้าไปเพ่ง ส่วนการเผลอเข้าไปเพ่งอันนี้หล่ะที่ไปสะสมโมหะ การเข้าไปเพ่งก็มีหลายระดับ เพ่งจรดจ้องแรงแบบรู้ตัว กับเพ่งแบบเบาๆโดยไม่รู้ตัวผู้ที่ปฏิบัติมามากมักจะมาติดกันตรงนี้โดยไม่รู้ตัว
วิธีการแก้ คือ ให้หมั่นสังเกตุตนเองเวลาปฏิบัติ ว่ามีการเพ่งเกร็งอยู่ตรงจุดไหนของกายไหม ให้ผ่อนคลายกายออก ส่วนใจให้สังเกตุว่ามีการไปกดข่มแช่ใจไว้กับสิ่งใดไหม ให้คลายใจออกเหมือนกับให้ใจยิ้มนิดๆคลายๆ ให้หมั่นสังเกตุ กาย ใจ ตนเอง ว่ามีการไปเพ่งแช่อยู่ไหม
การปฏิบัติต้อง สบายกาย สบายใจ สัมมาสมาธิจึงเกิด เพราะเราไปบังคับกดข่มใจไม่ได้ ใจจะดิ้นไม่สงบ ต้องหาอารมณ์ที่ใจชอบให้อยู่ เช่น ปิติใจเบาๆ สบายๆ จะทําให้ใจสงบเมื่อใจสงบ กายเบา ใจปล่อยจากขันธ์ จากอารมณ์หยาบ เป็นทางมาแห่งสัมมาสมาธิ
การใช้ชีวิตประจําวัน ให้หมั่น รู้สึกตัว รู้สึกตัวก็เพื่อเจริญสติ จะได้มีสัมมาสติมาก เวลาทําสมาธิจะเกิดสัมมาสมาธิได้โดยง่าย สัมมาสติและสัมมาสมาธิจะผลัดกันหนุนดุจดังเท้าซ้ายขวาเดินไปด้วยกัน มรรคผลจึงก้าวหน้า
ที่มา : Trader Hunter พบธรรม