เมื่อเรามีสมาธิที่มี
จิตตั้งมั่นเป็นคนดู แล้วสติระลึกเห็นร่างกาย
จิตไม่ไหลเข้าไปรวมกับร่างกาย สติระลึกรู้ความสุขความทุกข์ที่เกิดขึ้น จิตก็ไม่ไหลเข้าไปรวมกับความสุขความทุกข์
จิตจะแยกออกมาเป็นคนดู สติระลึกรู้กุศล อกุศล เช่น ความโลภ ความโกรธ ความหลงจิตก็ไม่ไหลไปรวมกับความโลภ ความโกรธ ความหลงจิตจะแยกออกมาเป็นคนดู
ขันธ์จะแยกออกไปเมื่อแยกขันธ์ได้แล้วก็ค่อยๆ ดูต่อไป
เราจะ
เห็นร่างกายที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่มี
ความทุกข์บีบคั้นอยู่ตลอดเวลาหายใจออกก็ทุกข์ หายใจเข้าก็ทุกข์ ยืนอยู่ก็ทุกข์ เดินอยู่ก็ทุกข์ นั่งอยู่ก็ทุกข์ นอนอยู่ก็ทุกข์ ร่างกายไม่ใช่ของดีของวิเศษเลย เป็นวัตถุธาตุ เป็นก้อนธาตุ เป็นก้อนทุกข์
มา
ดูจิตดูใจก็จะเห็นว่ามีแต่ความ
ไม่เที่ยง สุขก็ไม่เที่ยงทุกข์ก็ไม่เที่ยง ดีก็ไม่เที่ยง โลภโกรธหลงก็ไม่เที่ยง เป็นของ
บังคับไม่ได้ เป็นอนัตตา เช่น สั่งให้สุขมันก็ไม่ฟังห้ามทุกข์มันก็ไม่เชื่อ
การ
ดูกายจะเห็นทุกข์ง่าย ส่วนการดูจิตจะเห็นอนิจจังและอนัตตาง่าย สุดท้ายจะเห็นว่า กายไม่ใช่ของที่ดีมีสาระ จิตไม่ใช่ของที่ดีมีสาระ มีแต่ทุกข์มีแต่โทษทั้งนั้นเลยถ้าเมื่อใดเห็นกายเห็นใจเป็นทุกข์เป็นโทษ จิตจะปล่อยวาง ไม่ยึดถือกายไม่ยึดถือใจ นี่เป็นทางเดินเพื่อความบริสุทธิ์หลุดพ้น
หลวงพ่อปราโมทย์