อุปาทาน ความยึดมั่น ถือมั่น
คำว่า อุปาทาน ที่แปลกันโดยทั่วไปว่า ความยึดมั่นถือมั่นนั้น หมายถึง สภาพที่จิตใจ ไปย้ำคิด ครุ่นคิด คิดแล้วคิดอีก คิดอย่างกัดติด คิดอย่างกระชั้นชิด คิดอย่างไม่ยอมปล่อยปละละเลย ไม่ว่าจะเป็นเวลาไหน กลางวัน กลางคืน เวลากิน เวลาทำงาน หรือ แม้เวลานอนซึ่งถือว่า เป็นวลาพักผ่อนก็นำมาคิดด้วย เอนหลังลงนอนราบกับพื้น คลุมโปงด้วย ผ้าห่มหนาๆ จิตก็ยังแหวกผ้าห่มตามไปจับเรื่องนั้นมาคิดอยู่อย่างไม่ลดละ อาการแบบนี้แหละ เรียกว่าอุปาทาน
ท่านผู้อ่านลองๆทบทวนดูซิว่า เคยนำเรื่องใดมากอด มาเก็บไว้ในใจ มาคิดแล้วคิดอีก คิดซ้ำคิดซาก คิดวนเวียนไป วนเวียนมา ที่เรียกว่า สังสารวัฎฎ์นั่นแหละ หรือที่เรียกันว่าเวียนว่ายตายเกิดนั้นแหละ เห็นไหม พอคิดจบไปครั้งหนึ่ง เท่ากับ ตายไปครั้งหนึ่ง แล้วเริ่มต้นใหม่อีก พอคิดจบแทนที่จะจบกันไป ก็นำมาคิดอีก เช่นเวลาเจอความทุกข์ที่คนอื่นเขาไม่เคยเจอ ก็มักจะเฝ้าถามตัวเองอยู่เสมอว่า ทำไมถึงต้องเป็นเรา ทำไมถึงต้องเป็นเรา เป็นร้อยเป็นพันครั้ง ยิ่งคิดมากยิ่งเสียใจมาก ยิ่งทุกข์มาก
คนที่แปล อุปทาน ว่า ยึดมั่นถือมั่น นับว่าแปลได้ถูกต้องสอดคล้องกับสภาพที่เป็นจริงๆ คือ ยึดความคิดนั้นไว้ อย่างมั่นคง ถือความคิดนั้นไว้อย่างมั่นคง
ความยึดมั่นถือมั่น ในที่นี้หมายถึง จิตเข้าไปยึดถือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และธรรมารมณ์ ที่เป็นอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ด้วยอำนาจของความชอบและชัง
ความชอบชังที่อยู่ในสิ่งนั้น เป็นพลังดึงดูด มิให้จิตหลุดออกมาได้ง่ายๆ
ลองพิจารณาดูลึกๆ สิ่งที่จิตเข้าไปผูกพันเกาะเกี่ยว หน่วงเหนี่ยวยึดติดนั้น ต้องมีความชอบชังในปริมาณที่เข้มข้น มาก ยิ่งความชอบชังในเรื่องนั้นๆมีมากเท่าไร ความยึดมั่นถือมั่นจะมีมากเท่านั้น
สังเกตง่ายๆ เวลาชอบใครมากเป็นพิเศษ ก็มักจะคิดถึงคนนั้นๆครั้งแล้วครั้งเล่า เวลาทำอะไรที่ไหน ความคิดนั้นก็ ตามไปทุกหนทุกแห่ง จนทนไม่ไหวต้องไปอยู่ใกล้ๆหรือ หาวิธีการนำคนนั้นมาอยู่ใกล้ๆ
ในทางตรงกันข้าม หากเกลียดใครมากเป็นพิเศษ ความคิดเกลียดชังนั้นก็จะติดตามไปทุกหนทุกแห่ง เมื่อความ เกลียดเข้มข้นถึงที่สุดจะลงท้ายด้วยการทำลายสิ่งของของคนนั้น ทำลายบริวารของคนนั้น หรือสุดท้าย ลงมือทำลายคนที่ เกลียดนั้นให้ตายหรือหายนะอย่างถึงที่สุด
เรื่องของวัตถุสิ่งของต่างๆ ที่ซื้อหามาวางไว้ตามบ้านเรือนจำนวนมากมายหลายเท่ากว่าสิ่งของที่จำเป็นต้องใช้ ก็นำมาไว้ด้วยแรงแห่งอุปาทานที่ผ่านมาแต่ละครั้งๆ ในฤดูกาลหรือเทศกาลต่างๆ ร้านค้าหรือห้างสรรพสินค้าขายของต่างๆ มักจะปลุกเร้าลูกค้าด้วยการ ยั่วยุให้อยากได้สินค้าที่ตนต้องการขาย และเน้นย้ำบ่อยๆด้วยการทุ่มโฆษณาตามสื่อต่างๆ อย่าง ไม่หยุดหย่อน จนกระทั่งใจของผู้ดู ผู้ชม ให้ความสนใจ ชอบ และคิดตามบ่อยๆ คิดแล้วคิดอีกจนติดใจ ในที่สุดก็ออกจากบ้าน เดินทางไปซื้อสินค้าชิ้นนั้นมาอย่างมากมายเกินความจำเป็นที่จะต้องกินต้องใช้เสียอีก
กล่าวกันว่า เทศกาลใหญ่ๆเช่นคริสต์มาสแต่ละปี ประชาชนจะพากันไปจับจ่ายใช้สอยเงินซื้อสิ่งของที่ตัวเองชอบ หรือแม้แต่อาหารมาเก็บไว้ โดยมิได้บริโภคใช้สอยให้หมดไป ปีหนึ่งๆเหลือทิ้งรวมกันหลายๆประเทศหลายหมื่นหลายพันตัน เพียงพอต่อการเลี้ยงดูเด็กคนยากจนได้หลายล้านคนทีเดียว
ใครจะรักใครจนสละชีวิตให้กันได้ ก็ต้องรักด้วยอำนาจอุปาทาน จะเกลียดใครจนต้องล้างผลาญกันให้ถึงที่สุด โดย ไม่ต้องห่วงว่าชีวิตหรือทรัพย์สินเงินทองจะสูญเสียไปเท่าไรก็ทำไปด้วยอำนาจอุปาทานนี่แหละ
อุปาทานก็เหมือนกับกุศลหรืออกุศลธรรมทั้งหลาย ที่เป็นไปตามกฎของไตรลักษณ์ คือ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปพลังแห่งอุปาทานจะค่อยเสื่อมไปตามกาลเวลาช้าบ้างเร็วบ้าง ตามความเข้มเข้นหรือเจือจางแห่งความชอบชัง แต่สุดท้าย อุปาทานในแต่ละอย่างต้องจางคลายหายไป
เช่น ซื้อเสื้อมาตัวหนึ่ง ด้วยอำนาจอุปาทานแห่งความชอบอย่างเต็มเปี่ยมในเทศกาลคริสต์มาสครั้งนี้ เมื่อซื้อมาแล้ว ก็ชื่นชอบ หวงแหน สวมใส่เป็นประจำ เก็บรักษาอย่างดี บางทีเพียงเทศกาลนี้ผ่านพ้น ไม่มีใครพูดถึง ไม่มีสิ่งเร่งเร้าอุปาทาน ในเรื่องของขวัญวันคริสต์มาสอีกแล้ว อุปาทานจะค่อยๆลดและหมดไปในเวลาอันรวดเร็ว เสื้อตัวโปรดตัวนั้นก็จะถูกแขวนไว้ อย่างธรรมดาปะปนไปกับเสื้อตัวอื่น เวลาผ่านไปหนึ่งปี เสื้อตัวนี้ถูกลืมสนิท อุปาทานในเสื้อตัวนี้จึงดับไปสนิท ไม่มีความ หวงแหนเป็นห่วงหาอาลัยแต่อย่างใดอีก
หรือยุคหนึ่งสมัยหนึ่ง ผู้คนเคยถูกกระตุ้นให้เกลียดนักการเมืองคนหนึ่ง ย้ำแล้วย้ำอีกจนความเกลียดนั้นเข้าครองใจ ติดใจ พอความเกลียดนั้นเข้มเข้นพอก็ย้ำเองคิดเอง ปรุงแต่งหาข้อมูลแห่งความน่าชังต่างๆมาผสมผสานเพิ่มเติมจนกระทั่ง อุณหภูมิแห่งความเกลียดขึ้นถึงขีดสุด พบตรงไหนฆ่าทิ้งตรงนั้นได้เลย ช่วงที่ยังไม่พบ ก็ขอขับไล่ทางสื่ออยู่เป็นประจำ
เวลาผ่านไป การกระตุ้นความเกลียดชังนั้นเบาบางลงไป การปรุงแต่งให้เกลียดชังลดน้อยลง ไม่นานความ เกลียดชังนั้นก็จางคลายหายไปจากใจ ใครชวนไปขับไล่ตอนนี้ก็คงจะไม่ไปอีกแล้ว เพราะความเกลียดชังไม่มีเหลือ หรือเหลือ บ้างก็น้อยเต็มทีไม่เข้มข้นพอที่จะไปขับไล่แล้ว ในไม่ช้า อุปาทานเรื่องนั้นก็ดับไป
เรื่องของอุปาทาน เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นตามกระบวนการแห่ง ปฏิจจสมุปบาท ไม่ใช่ความเชื่อ ไม่ใช่คำสั่งว่า ให้ ละอุปาทาน แล้วจะขึ้นสวรรค์ หรือไม่ละแล้วจะลงนรก แต่เป็นเรื่องของแต่ละคนที่จะมองเห็นอุปาทานว่า เป็นคุณหรือเป็นโทษ หากใครเห็นว่าอุปาทานเป็นคุณไม่ให้โทษอะไร ก็ไม่สนใจที่จะละ แต่ผู้ใดที่เห็นโทษมหันต์แห่งอุปาทานว่า เป็นเครื่องบีบรัด มัดใจให้อึดอัด ตึงเครียด เป็นเครื่องถ่วงใจให้หนัก อย่างแจ่มแจ้งประจักษ์ เขาหรือเธอก็จะระวังใจมิให้เกี่ยวเกาะยึดติดด้วยตัวเอง
พระพุทธเจ้าตรัสว่า ผู้ใดจะระวังจิต ผู้นั้นจะพ้นจากบ่วงแห่งมาร ระวังจิตในที่นี้หมายถึงระวัง มิให้ไปยึดเหนี่ยวเกี่ยว เกาะ กอดรัดไว้ ทั้งสิ่งที่ชอบและชัง จิตก็จะพบกับความปล่อยวาง ว่าง โล่ง โปร่ง เบา สบาย และผ่อนคลายยิ่งนัก
อุปาทานมิได้จางคลายหายไปด้วย ความเชื่อ ความกลัว คำขู่หรือแรงจูงใจ ให้ปล่อยวาง แต่จะจางคลายหายไป ด้วย ความรู้ และกฎธรรมชาติแห่งไตรลักษณ์ ไม่ต้องโกรธ เกลียด ชัง หรือชอบอุปาทานแต่อย่างใด เพียงแต่เฝ้าดูว่า อุปาทานเกิดขึ้น เมื่อไร ตั้งอยู่นานแค่ไหน และดับไปเมื่อไร โดยมิต้องลงมือปฏิบัติการใดๆ ตามอำนาจอุปาทาน ทั้งกายและ ใจก็จะปลอดภัย สงบเย็น เป็นปกติ
พระมหาจรรยา สุทธิญาโณ
***************************
ขยายความ
อุปาทาน คือ การยึดมั่นถือมั่นทางจิตใจ เช่น
- ยึดมั่นถือมั่นในเบญจขันธ์ คือร่างกายและจิตใจรวมกันว่าเป็น"ตัวตน" และยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่ถูกใจ อันมาเกี่ยวข้องด้วยว่าเป็น"ของตน"
- หรือที่ละเอียดลงไปกว่านั้นก็คือยึดถือจิตส่วนหนึ่งว่าเป็น"ตัวเรา" แล้วยึดถือเอารูปร่างกาย ความรู้สึก ความจำ และความนึกคิด ๔ อย่างนี้ว่าเป็น"ของเรา"
อุปาทาน 4 อย่าง
1. กามุปาทาน ยึดติดในกาม ซึ่งในที่นี้มิได้หมายความเพียงแค่เรื่องทางเพศ แต่ยังมีความหมายกว้างรวมถึงวัตถุกามคือ สิ่งที่ชวนให้หลงรัก หลงชอบ พอใจและอยากมีไว้ในครอบครองหรือเป็นเจ้าของ เช่น บ้าน รถ คอนโด ทรัพย์สินเงินทอง เครื่องประดับเพชรนิลจินดา หนุ่มหล่อ สาวสวย คนรวย คนมีอำนาจ คนดัง เป็นต้น
2. ทิฏฐุปาทาน ยึดถือในทิฏฐิ คือ ความเห็นของตนว่าถูกต้อง ตรง จริง ของผู้อื่นผิด
3. สีลัพพัตตุปาทาน ติดยึดในศีลวัตรที่งมงาย ในที่นี้หมายถึง ข้อประพฤติปฎิบัติที่ไร้ประโยชน์ซึ่งเป็นการทรมานตนเปล่า ทำให้เสียเวลา ไม่ประกอบด้วยปัญญา ไม่เป็นไปเพื่อการหลุดพ้นแต่กลับทำให้ยึดติดในวัตรปฎิบัติมากยิ่งขึ้น โดยคิดว่าเพียงแค่การถือพรตอันเคร่งครัดเพียงเท่านั้น จะสามารถนำมาซึ่งวิมุตติอันเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนจากความจริงในทางพุทธศาสนา
4. อัตตวาทุปาทาน ยึดมั่นในตัวเอง ของตัวเอง
พุทธภาษิตมีอยู่ว่า "เมื่อกล่าวโดยสรุปแล้ว เบญจขันธ์ที่ประกอบอยู่ด้วยอุปาทานนั่นแหละเป็นตัวทุกข์"
ดังนั้น เบญจขันธ์ที่ไม่มีอุปาทานครอบงำนั้นหาเป็นทุกข์ไม่ ฉะนั้น คำว่าบริสุทธิ์หรือหลุดพ้นจึงหมายถึง การหลุดพ้นจากอุปาทานว่า"ตัวเรา" ว่า"ของเรา"นี้โดยตรง ดังมีพุทธภาษิตว่า "คนทั้งหลายย่อมหลุดพ้นเพราะไม่ยึดมั่นถือมั่นด้วยอุปาทาน"
วิกิพีเดีย
***********************
ดับอุปทาน คือดับทุกข์ทั้งมวล
มีพุทธพจน์ตรัสไว้ดั่งนี้ ผู้ไม่มีอุปาทาน ย่อมบรรลุพระนิพพาน (เวสาลีสูตร ๑๘/๑๒๓)
พระพุทธองค์ผู้ทรงเลิศซึ่งพระปัญญา ได้ทรงแบ่งขั้นตอนในการดับอุปาทานทุกข์ ตามฐานะเช่นบรรชิตหรือฆราวาส และกําลังสติ ปัญญาและจริต, โดยการพิจารณาพอสามารถแบ่งออกได้เป็น
ขั้นทาน การรู้จักบริจาคแบ่งปัน เป็นการลด การละความยึดมั่นถือมั่นในความพึงพอใจในทรัพย์ของตัวของตน ด้วยการแบ่งปันเจือจานแก่บุคคลอื่น และเพื่อให้การอยู่ร่วมกันของฆราวาสในสังคมนั้นๆเป็นไปอย่างสงบสุข
ขั้นศีล เป็นการลด การละความยึดมั่นความพึงพอใจในการกระทําต่างๆ ด้วยข้อวัตรหรือศีลด้วยกฎข้อปฏิบัติ หรือกฏข้อบังคับ เพื่อให้ไม่กระทําทุกอย่างตามความพึงพอใจของตัวของตนแต่ฝ่ายเดียวอันยังให้เกิดทุกข์หรือเบียดเบียนแก่บุคคลอื่น ๆ เพื่อให้เกิดการอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างสงบสุข
ขั้นสติ เป็นขั้นใช้สติ ดังเช่น สติปัฏฐาน ๔ ซึ่งใช้สติเป็นประธานในการกําจัดความยึดมั่นในความพึงพอใจใน กาย เวทนา จิต และโดยมีธรรมเป็นเครื่องรู้ เครื่องระลึก เครื่องเตือนสติ
ขั้นสมาธิ การมีสติอยู่ในกิจ หรืองาน หรือธรรมที่ปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง ทรงแจงถึงโทษด้วยเช่นกันดังในสังโยชน์ ๑๐-กิเลสที่ผูกมัดใจสัตว์
กล่าวถึงสิ่งที่ต้องละ คือ รูปฌาน และอรูปฌานอันเป็นสุขอย่างละเอียดประณีตที่เป็นประโยชน์ในการปฏิบัติซึ่งถ้าติดเพลินแล้วก็เป็นสิ่งที่ต้องละเช่นกัน อันจัดอยู่ในสังโยชน์ขั้นละเอียดหรือขั้นสุดท้าย ในปฏิจจสมุปบาทกล่าวแสดงในเรื่องภพ อันมี รูปภพ อรูปภพ เป็นการต้องละในขั้นละเอียดเพราะยังติดอยู่ในภพ การกําจัดซึ่งความยึดมั่นในความพอใจหรือสุขอันประณีตอันเกิดจากรูปฌานและอรูปฌาน (ละหมายถึง ละการติดยึด มิใช่ทิ้งฌานหรือสมาธิ)
ขั้นปัญญา เป็นการกําจัดความยึดมั่นถือมั่นในความพึงพอใจ หรือสุข ทั้งหลายทั้งปวง โดยหลัก "พระไตรลักษณ์" คือสิ่งทั้งหลายทั้งปวงล้วนไม่เที่ยงล้วนทนอยู่ไม่ได้ไม่เป็นแก่นเป็นแกนอย่างแท้จริง ล้วนต้องดับไปตามเหตุปัจจัย เพื่อไม่ยึดมั่นถือมั่นพึงพอใจในสิ่งใดๆอันก่อให้เกิดอุปาทานทุกข์
จุดประสงค์ของแต่ละขั้นนั้นล้วนแล้วแต่ดับหรือลดละ"อุปาทาน"ความยึดมั่นถือมั่นในความพึงพอใจหรือสุขของตัวตนเองทั้งสิ้น ตามกําลังสติ, ปัญญา, จริต, ความมุ่งมั่น, และฐานะของแต่ละบุคคล, เหล่านี้ล้วนแต่เป็นธรรมที่มีรากเหง้ามาจากหลัก "ปฏิจจสมุปบาท" ทั้งสิ้นที่ให้รู้และกําจัดอุปาทาน อันก่อให้เกิดอุปาทานขันธ์ ๕ อันเป็นทุกข์
แก่นธรรมอันสําคัญยิ่งในพุทธศาสนา ดังเช่น อริยสัจ ปฏิจจสมุปบาท อุปาทานขันธ์ ๕ สติปัฏฐาน พระไตรลักษณ์ ตลอดจนความรู้ในพระนิพพาน อนัตตลักขณสูตรอาทิตตปริยายสูตร ฯลฯ ล้วนบ่งแจ้งถึงสิ่งที่เราผู้ปฏิบัติต้องกระทําเพื่อให้บรรลุถึงนิโรธหรือจางคลายจากทุกข์ อันคือ"การนําออกและละเสีย ซึ่งอุปาทานความพึงพอใจของตน" อันมีตัณหาเป็นมูลเหตุปัจจัยใหญ่
วัดพุทธธัมมธโร สหรัฐอเมริกา