อัตตาเป็นสิ่งที่ไม่มีตัวตน แต่ทำให้เราต้องทนทุกข์จริงๆ
ที่จะรู้ตัวว่าอัตตาของคุณ ใหญ่ เล็ก หยาบ ละเอียด เพียงใด ไม่ใช่ไปวัดกันตอนพักผ่อนนอนเล่น แต่ต้อง
ดูผ่านกลไกการปกป้องตัวเอง ถ้ารักตัวกลัวผิดเหนียวแน่น ปฏิเสธความผิดของตัวไม่พอ ยังขอให้ใครมารับผิดแทนตนอีก แบบนี้แปลว่าอัตตายังหยาบอยู่มาก
ความรู้สึกข้างในยังอึดอัดรุ่มร้อนมาก ยังอีกไกล กว่า
จิตจะหยุดดิ้นได้
อัตตา คือ อุปาทาน เป็นแค่อาการ
ยึดไปเอง หลงไปเองของจิต ยิ่งหลงยึดมาก ยิ่ง
อึดอัดมาก อัตตาหยาบๆ ทำให้มีจิตหยาบๆ จิตหยาบๆ เหนี่ยวนำให้ก่อบาปหนักๆ บาปหนักๆ บังตาบังใจให้เห็นผิดเป็นชอบ กลายเป็นอัตตาพอกพูนขึ้นไป กระทั่งถึงจุดที่อยากได้อยากมีเพื่อตนเอง ไม่สนว่าใครจะเดือดร้อนขนาดไหน
สำหรับคนอัตตาเบาบาง ไม่ใช่ไม่มีกลไกปกป้องตัวเองเลย ยังมีอยู่ แต่น้อย เช่น ผิดแล้ว ‘ไม่อยากรับผิด’ แค่ชั่วอึดใจสั้นๆจึ๊กเดียว หรือกระทั่งเต็มใจรับผิดทันที แม้ฝืนๆฝืดๆอยู่ข้างในบ้าง ก็ไม่กระสับกระส่ายให้ใครเห็น
ยิ่งกลไกการปกป้องตัวเองน้อยลงเท่าไร ยิ่งสะท้อนว่าอัตตาเบาบางลงเท่านั้น
เมื่ออาการดิ้นรนเพื่ออัตตาน้อย ความทุกข์ก็น้อย และเส้นทางทุกข์ก็สั้นลงเรื่อยๆ
เพื่อจะเริ่มฝึกลดอัตตา ต้องสังเกตโทษทางใจให้ชัด เช่น เมื่อผิดแล้วไม่ยอมรับผิด แม้รอดตัว ลอยนวลไปได้ หรือหาแพะมารับบาปแทนได้ ก็ต้องรับโทษทัณฑ์เหมือนติดคุกอยู่ข้างใน รู้สึกลึกๆว่าตัวเองเป็นคนชั่วร้าย กลายเป็นขี้ข้าปีศาจ หรือถูกขังรวมกับตัวบ้าอะไรสักตัวที่มีแต่ความกลัวผิด คิดเพี้ยนๆ งุ่นง่านไม่เลิก
เมื่อจับได้ไล่ทัน เห็นโทษเห็นภัยของอัตตา คุณจะกล้ารับผิดมากขึ้น พยายามปกป้องมันน้อยลง
และพอเอามันลงจากบ่าได้ ก็อาจโล่งเหมือนยกภูเขาออกจากอก นึกชอบอัตตาที่เบาบางลงจริงๆ
เมื่อ
อัตตาเบาบางลง แล้วคิดเจริญสติ จะเกิดความก้าวหน้ารวดเร็ว เห็นอัตตาละเอียดไม่ยาก
แต่หากอัตตายังหยาบ ยังหนาหนัก แล้วคิดเจริญสติหวังมรรคผล นอกจากจะไม่ได้ผล ไม่กะเทาะอัตตาออก ยังกลายเป็นเจริญสติพอกอัตตา กว่าจะรู้ตัวอีกที ก็อาจเห็นข้างในพิลึกกึกกือ เบาบางก็ไม่ใช่ หนาหนักก็ไม่เชิง คล้ายรูปร่างหน้าตาของตัวตนที่แท้จริง บูดๆเบี้ยวๆ กึ่งเทพ กึ่งปีศาจ เป็นที่น่ารำคาญแก่ตนเองยิ่ง!
ดังตฤณ