ปฏิบัติวิปัสสนา ต้องสังเกตลักษณะของเจตสิก และ รู้ตัวอารมณ์
เวลาปฏิบัติวิปัสสนา ต้องเข้าไปสังเกตลักษณะของมันขณะที่กำลังเกิดขึ้น ในขณะที่ความโกรธเกิดขึ้น ก็เข้าไปสังเกตลักษณะของความโกรธที่กำลังปรากฏนั่นแหละ เหมือนเช่น ตัวละครที่เป็นตัวโกงปรากฏออกมา เราก็ต้องดูเขาแสดงบทตอนที่เป็นฉากของตัวโกง ดูไปตามที่ปรากฏ จะไปขับไล่ไม่ให้เขาแสดงบท เพราะไม่ชอบ ไม่ได้
เปรียบเหมือน เช่น การปฏิบัติ ซึ่งมีหน้าที่กำหนดรู้ศึกษาดู ไม่มีหน้าที่ไปทำลายเขา ในลักษณะห้ามเกิด เพราะไม่ต้องการ ซึ่งไม่ใช่หน้าที่ของผู้ปฏิบัติวิปัสสนา
เมื่อสิ่งใดปรากฏ ก็ดูให้ลึกซึ้งถึงธาตุแท้ของมัน เช่น ดูลักษณะของความโกรธ ว่ามันมีความร้อนใจ มีอาการบีบคั้นจิตใจ ดูไปให้เห็น โดยไม่ต้องไปปรุงแต่งต่อเติมอะไร เพียงสังเกตความเปลี่ยนแปลง สังเกตความเกิดดับเท่านั้น สังเกตดูว่า ความโกรธนั้น คงที่ไหม โกรธอยู่ตลอดเวลาหรือเปล่า เป็นต้น
พระครูเกษมธรรมทัต (สุรศักดิ์ เขมรังสี)
*******************
การกระทบ (อารมณ์)
วิธีการของพระพุทธเจ้า ไม่ได้สอนเราให้หนีการกระทบอารมณ์ มีตาก็ดู มีหูก็ฟัง มีจมูกก็ดมกลิ่น มีลิ้นก็รู้รส มีกายก็รู้สัมผัสทางกาย มีใจก็คิดนึกปรุงแต่ง ห้ามไม่ได้
แต่เมื่อกระทบอารมณ์แล้วนะ เกิดสุขให้รู้ เกิดทุกข์ให้รู้ เกิดกุศล อกุศล ให้รู้ไป แล้วเราจะเห็นว่า ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นนี่ ดับทั้งสิ้น ที่พระพุทธเจ้าสอนมุ่งมาตรงนี้ ไม่ใช่มุ่งปรุงแต่งจิตให้ว่างๆ นะ ไม่ได้มุ่งปรุงดี แต่มุ่งให้จิตได้เรียนรู้ว่า สิ่งใดเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นดับเป็นธรรมดา
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
*********************
จิตกับอารมณ์
จิต คือ ธาตุรู้ ทรงไว้ซึ่งความรู้ตลอดทุกกาลสมัย ส่วน อารมณ์ ประกอบด้วยธาตุ ๔ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ ผสมกัน หรืออาศัยธาตุทั้ง ๔ เป็นแดนเกิด เช่น รูป เสียง กลิ่น รส กายสัมผัส เป็นต้น
อารมณ์ เป็นสิ่งที่มีอยู่เป็นอยู่ ไม่สามารถรู้อะไรได้เลย แต่ จิต รับรู้ เมื่อกระทบกับ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ เกิด จักขุวิญญาณ,โสตวิญญาณ,ฆานวิญญาณ,ชิวหาวิญญาณ,กายวิญญาณ และมโนวิญญาณขึ้น
เมื่อจิตกับอารมณ์กระทบกัน ก็ย่อมส่งผลให้จิตเกิดความฟุ้งซ่าน หวั่นไหว เกิดความนึกคิด ความยินดี-ยินร้าย และทำให้เกิดความยึดมั่นถือมั่นตามมาด้วย
ถ้าอุปมา
จิต เหมือน น้ำ ในมหาสมุทรแล้ว
อารมณ์ ก็ย่อมต้องอุปมาเหมือน ลม พายุที่พัดมากระทบผิวน้ำในมหาสมุทร ซึ่งทำให้เกิดเป็นลูกคลื่นน้อยใหญ่กลิ้งตัวตามกำลังลมพายุที่พัดนั้นด้วย
ลูกคลื่นลูกหนึ่งเกิดขึ้น แล้วก็ทยอยตัวดับตามๆกันไป ทั่วท้องมหาสมุทรตลอดเวลาที่ลมพายุพัดอยู่ ถ้าลมพายุหยุดพัดเสียเมื่อไหร่ ลูกคลื่นทั้งหลายที่กล่าวมาข้างต้น ก็ย่อมลดขนาดเล็กลงๆ ตามลำดับเมื่อนั้นด้วย จนกระทั่งเหลือแต่ผิวน้ำที่เป็นเส้นระดับราบเรียบในที่สุด
ทั้งนี้แสดงให้เห็นว่า สภาพเดิมที่แท้จริงของ น้ำ ในท้องมหาสมุทรนั้น สงบ ราบเรียบ ไม่ปั่นป่วนวุ่นวาย แต่ที่เกิดมีคลื่นน้อยใหญ่วุ่นวายนั้น เป็นสภาพที่เกิดขึ้นภายหลัง เพราะมีลมพายุพัดมากระทบผิวน้ำ
ซึ่งเป็นเช่นเดียวกับ จิต ที่มีสภาพเดิมอันสงบราบเรียบ แต่ที่ได้วุ่นวาย กระสับกระส่ายไปมาในภายหลัง เพราะมีอารมณ์เข้ามากระทบ
ฉะนั้น จากที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ เราสามารถสรุปกล่าวให้เป็นสัจธรรมได้ว่า
มีน้ำ โดยไม่มีลูกคลื่นเลย ย่อมได้
แต่จะมีลูกคลื่น โดยไม่มีน้ำนั้น ย่อมไม่ได้
หรือมีจิต โดยไม่มีอาการหวั่นไหวจากอารมณ์เลย ก็ย่อมได้
แต่จะมีอาการหวั่นไหวจากอารมณ์ โดยไม่มีจิตนั้น ย่อมไม่ได้ เป็นธรรมดา
ดังนั้น น้ำ กับ ลูกคลื่น จึงแยกออกจากกันได้ และ จิต กับ อารมณ์ จึงแยกออกจากกันได้ จิตไม่ต้องพึ่งพาอาศัยอารมณ์ใดๆ ทั้งสิ้นโดยปรมัตถ์ เช่น วิมุตติจิต (จิตหลุดพ้น).
จิต คือ ตน
เนื่องจาก สามัญสัตว์โลกไม่ได้รับการอบรมศึกษา ทำให้ จิต รู้จักอารมณ์ผิดจากความเป็นจริง (อวิชชา) ดังนั้น เมื่อมีอารมณ์มากระทบ ก็เกิดความพอใจยินดีในอารมณ์ (ตัณหา) และยึดติดคิดหวังจะเอามาครอบครองไว้ (อุปาทาน)
ด้วยอำนาจ อวิชชา-ตัณหา-อุปาทาน ดังกล่าวนี้ เป็นเหตุให้ จิต จมติดอยู่ใน โลก (อารมณ์และอาการของจิตที่เนื่องด้วยอารมณ์) โดยไม่รู้จัก ตนเอง (จิต) ซึ่งยืนตัวเป็นประธานอยู่ด้วยทุกขณะ และไม่รู้จักตนเองว่ามีสภาพเดิมอันประภัสสรผ่องใส
ทำให้กลับไปยึดเอาอารมณ์ทั้งหลายซึ่งเป็นของภายนอกเข้ามา ด้วยความสำคัญผิดว่าอารมณ์มีสภาพเที่ยงแท้ถาวร และยึดว่าอารมณ์เป็นอัตตาตัวตนของตนเอง
อารมณ์เป็นสภาพธรรมที่จิตหลงยึดเป็นตนเอง
อารมณ์ เป็นสภาพธรรมที่ จิต หลงยึดถือเอาเข้ามาเป็นสมบัติของตนเอง ด้วยความสำคัญผิด เพราะความจริงนั้น อารมณ์ เป็นเพียงเงา และความรู้สึกที่มีต่อวัตถุ หรือ สิ่งที่อาศัยวัตถุเกิดขึ้นทั้งนั้น ล้วนแล้วแต่เกิดจากการประชุมปรุงแต่งของธาตุดินน้ำลมไฟ รวม ๔ ธาตุทั้งสิ้น
ซึ่งไม่สามารถดำรงอยู่ในสภาพเดิมได้ตลอดไป ต้องเสื่อมสลายแตกดับไปเป็นธรรมดาทุกอารมณ์
อารมณ์ ดังกล่าวนี้ คือ รูป เสียง กลิ่น รส ความสัมผัสทางกาย รวม ๕ ทาง ซึ่งจะเข้าสู่ จิต ทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย เรียงคู่กันตามลำดับ
เมื่อ จิต รับรู้ อารมณ์ ทั้ง ๕ ดังกล่าวแล้ว ก็จดจำอารมณ์นั้นๆไว้ แล้วก็นึกน้อมขึ้นมารับรู้อีก โดยไม่ต้องอาศัยอารมณ์ทั้ง ๕ อีกก็ได้ เป็นอารมณ์ที่เกิดจาก ความนึกคิดที่เก็บไว้ทางใจ (ธรรมารมณ์) อีกทางหนึ่ง รวมเป็น ๖ ทาง
อารมณ์ทั้ง ๖ ดังกล่าว คือ รูป เสียง กลิ่น รส ความสัมผัสทางกาย ความนึกคิดทางใจ จะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนเข้าไปสู่จิตทีละอารมณ์ ตลอดเวลาที่ตื่นนอน รวมทั้งในขณะนอนฝันด้วย สุดแล้วแต่ว่าจะเป็นอารมณ์ชนิดใด ครั้งละเพียงอารมณ์เดียวเท่านั้น
เมื่อ อารมณ์ ดังกล่าวนี้ปรากฏขึ้นเมื่อใด จิต ก็จะแล่นออกไปรับรู้ อารมณ์ ตามช่องทางที่เข้ามา กลายเป็น จิตผสมกับอารมณ์ เมื่อนั้น ทำให้เกิดความฟุ้งซ่านหวั่นไหว
ครั้นอารมณ์ดังกล่าวนี้ดับไป ความรู้สึกฟุ้งซ่านหวั่นไหว ก็ย่อมสงบลงชั่วขณะ จิต ก็จะดิ้นรนแสวงหา อารมณ์ อันอื่นเพื่อจะได้รับรู้ต่อไปอีก สุดแต่ว่าจะได้อารมณ์ที่พอใจมาทางใด เมื่อรับรู้อารมณ์ใหม่ก็เกิดความรู้สึกฟุ้งซ่านหวั่นไหวในลักษณะใหม่ด้วย อารมณ์ เหล่านี้ จะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันเข้ามาปรุงแต่ง จิต ตลอดเวลาโดยไม่มีที่สิ้นสุด
ทั้งนี้เป็นเพราะ จิตไม่รู้จักอารมณ์ตามความเป็นจริง จึงหลงยึดเอาอารมณ์ซึ่งไม่เที่ยงไว้ โดยเข้าใจผิดว่าเที่ยงและมีแก่นสาร เนื่องจากไม่รู้จักตนเองที่แท้จริง.
จิตผสมกับอารมณ์
จิตเมื่อผสมกับอารมณ์ แบ่งเป็นจิต ๓ จำพวก คือ
๑.กามาพจรจิต เกิดขึ้นจากจิตท่องเที่ยวไปในอารมณ์ที่น่ารักน่าปรารถนา โดยออกไปรับรู้ทาง ตา หู จมูก ลิ้น กายสัมผัส รวม ๕ ทาง
๒.รูปาพจรจิต เกิดขึ้นจากจิตปรารภถึง รูป เสียง กลิ่น รส ความสัมผัสทางกาย เป็นอารมณ์ทางใจ (ธรรมารมณ์) ที่ปราศจากกาม เป็นรูปฌาน (เพ่งรูปเป็นอารมณ์)
๓.อรูปาพจรจิต เกิดขึ้นจากจิตที่เพิกออกจากอารมณ์ทางใจที่ปราศจากกามดังกล่าวข้างต้น เป็นอรูปฌาน (เพ่งนามเป็นอารมณ์)
จิตเมื่อผสมกับอารมณ์แล้ว ก็ย่อมยึดถือไว้ และถูกครอบงำปรุงแต่งให้หวั่นไหว แล้วแสดงอาการยินดีบ้าง ยินร้ายบ้าง มากบ้าง น้อยบ้าง ตามชนิดของอารมณ์ ซึ่งเป็น อาการของจิต ที่แสดงออกมาเนื่องด้วยอารมณ์ หรือเรียกว่า นามขันธ์ ๔
อาการของจิตที่เนื่องด้วยอารมณ์ (นามขันธ์ ๔)
๑.เวทนา ความรู้รสชาติแห่งอารมณ์ จัดเป็น ๓ ประเภท ตามชนิดของอารมณ์ที่มากระทบ คือ
สุขเวทนา อารมณ์ที่น่ารักใคร่น่าปรารถนา (อิฏฐารมณ์)
ทุกขเวทนา อารมณ์ที่ไม่น่าพอใจ (อนิฏฐารมณ์)
อทุกขมสุขเวทนา อารมณ์ที่ปรุงแต่งจิตให้มีอารมณ์เฉยๆ (มัชฌัตตารมณ์)
๒.สัญญา ความจดจำอารมณ์ แบ่งเป็น ๖ ประเภทตามชนิดของอารมณ์ที่มากระทบ คือ
รูป รูปสัญญา
เสียง สัททสัญญา
กลิ่น คันธสัญญา
รส รสสัญญา
กายสัมผัส โผฏฐัพพสัญญา
ความนึกคิดทางใจ ธัมมสัญญา
๓.สังขาร ความนึกคิดถึงอารมณ์ จัดเป็น ๓ ประเภทตามอำนาจกิเลสที่เกิดขึ้น คือ
คิดดี เป็น กุศลเจตสิก
คิดไม่ดี เป็น อกุศลเจตสิก
คิดไม่ใช่ดีไม่ใช่ชั่ว เป็น อัญญสมานาเจตสิก
๔.วิญญาณ ความรับรู้อารมณ์ที่เข้ามากระทบ แบ่งเป็น ๖ ช่องทาง ตามช่องทางที่รับรู้อารมณ์ คือ
จักขุวิญญาณ รับรู้อารมณ์ ทางตา
โสตวิญญาณ รับรู้อารมณ์ ทางหู
ฆานวิญญาณ รับรู้อารมณ์ ทางจมูก
ชิวหาวิญญาณ รับรู้อารมณ์ ทางลิ้น
กายวิญญาณ รับรู้อารมณ์ ทางกาย
มโนวิญญาณ รับรู้อารมณ์ ทางใจ ….เหล่านี้
อ.ไชยทรง จันทรอารีย์