Recent Posts

การรู้รูปนามคือ จะรู้รูปรู้นามยังไง


          รูป - นาม ที่พระพุทธเจ้าสอนให้เรารู้ ก็คือ รูป - นาม ที่ถูกยึดว่าเป็นเรา กล่าวอย่างง่าย ๆ ก็คือ กายนี้ - ใจนี้ พระพุทธเจ้าสอนให้มองสิ่งทั้งหลาย ตามที่มันเป็นของมันอย่างนั้น เป็นธาตุ เป็นธรรม เป็นสภาวะ ที่ไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตน เราเขา กายใจที่รวมเป็นชีวิตนี้ ถูกยึดว่าเป็นเรา

          พระองค์ก็สอนให้เข้าใจว่า มันเป็นการประชุมรวมกันของส่วนประกอบต่าง ๆ ส่วนประกอบแต่ละอย่างก็ไม่มีเจ้าของ ไม่มีตัวตนของสิ่งนั้น

          วิธีแยก ส่วนประกอบของชีวิตนี้อย่างง่าย ๆ คือ แยกเป็น รูป กับ นาม

          รูป คือ ร่างกาย และพฤติกรรมทั้งหมดของร่างกาย ส่วนหนึ่งรับรู้สัมผัสได้ด้วยตา หู จมูก ลิ้น กาย
มีบางส่วนต้องใช้ใจรับรู้

          นาม คือ สิ่งที่ไม่มีรูปร่าง คือรู้ไม่ได้ด้วยตา หู จมูก ลิ้น กาย เป็นเรื่องของจิตใจ โดยทั่วไปก็หมายถึง ขันธ์ที่เป็นฝ่ายนามธรรม ๔ ขันธ์ ดังนี้คือ เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ

          การรู้รูปรู้นาม.. ถ้าพูดแบบภาษาชาวบ้าน ก็คือ รู้กายรู้ใจ นั่นเอง

          เวลารู้กาย ก็ทำใจสบาย ๆ อย่าไปคิดว่า ‘เอาล่ะ.. ฉันจะปฏิบัติธรรม !” แต่แค่สังเกต หรือแค่รู้สึกว่ากายนี้มันเคลื่อนไหว มันเดิน มันนั่ง มันขยับไปมา มันกลืนกิน มันขับถ่าย ฯลฯ  รู้สึกเหมือนหุ่นยนต์ตัวหนึ่ง ที่มีการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด เดี๋ยวอาหารเข้า เดี๋ยวอาหารออก เดี๋ยวลมเข้า เดี๋ยวลมออก ไม่ใช่สิ่งคงที่ถาวร  ดู ๆ ไป ก็จะช่วยให้เห็นความจริงว่า กายนี้ไม่ใช่เรา ไม่เป็นเรา

          แล้วจะสังเกตได้ว่า ตอนที่รู้กาย ไม่ใช่มีแต่กาย แต่ยังมีธรรมชาติอย่างหนึ่งที่เป็นผู้รู้กายด้วย คือมี ใจที่เป็นผู้รู้ กับ กายที่ถูกรู้ ถ้ารู้สึกได้ถึงตรงนี้ ก็เรียกได้ว่า แยกรูปแยกนาม

          บางคนไม่ถนัดดูกาย ก็มาดูใจ เช่น หิวข้าวแล้วโมโหหิว โกรธคนข้าง ๆ ที่ทำให้ชักช้า ก็มารู้ที่ความโกรธ จะเห็นว่าความโกรธก็ขึ้น ๆ ลง ๆ บางทีดูไป ๆ ความโกรธก็ดับไปเอง แต่ไม่ว่าจะดับหรือไม่ดับ ถ้าเห็นว่าความโกรธถูกรู้ ไม่มีเราในความโกรธ เห็นความโกรธ กับ ใจที่เป็นผู้รู้อยู่ต่างหาก ถ้ารู้สึกได้ถึงตรงนี้ ก็เรียกได้ว่า แยกนามกับนาม ก็เรียนรู้สิ่งที่เกิดขึ้นกับใจอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ

          ส่วนมากจะเห็นสิ่งที่เรียกว่ากิเลส เช่น ราคะ โทสะ โมหะ ความฟุ้งซ่าน ความลังเล ความหดหู่ เป็นต้น มีเกณฑ์ง่าย ๆ คือ ถ้าลืมกายลืมใจ คือ หลง ถ้าไม่เห็นรูปไม่เห็นนาม คือ ขาดสติ

          ถ้าลำพังเห็นรูป หรือเห็นนาม อย่างเดียว ก็อยู่ในขั้นจิตตสิกขา คือมีสติ ถ้าแยกรูปแยกนาม หรือแยกนามกับนาม บางทีก็เรียกกันว่าแยกขันธ์ ก็อยู่ในขั้นปัญญาสิกขา คือเริ่มมีปัญญาแล้ว

พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากตอบโจทย์บนนิมฺมโลเพจ
วันที่ 6 กรกฎาคม 2559