Recent Posts

หัดรู้ จิตที่ลืมตัวหรือเผลอไป


หัดรู้-หัดดู จิตที่ลืมตัวหรือเผลอไป

          เคยสังเกตบ้างหรือเปล่าว่า แทบทุกครั้งที่เสียงจากโทรศัพท์มือถือดังขึ้น มันปลุกให้เราตื่นและหลุดออกจากห้วงความคิดได้แวบหนึ่ง 

          ถ้าเราเพียงรู้สึกถึงจิตที่ตื่นและหลุดออกมาจากห้วงความคิดได้ นั่นก็คือสภาวะที่จิตกลับมารู้สึกตัวได้อีกครั้งหลังจากที่ลืมตัว หรือเผลอไปกับเรื่องราวความคิดต่างๆ และในแวบเดียวกันนั้น ความคิดที่เกิดต่อเนื่องกันมาก่อนหน้า ก็จะขาดช่วงลงไป

          เคยสังเกตบ้างหรือเปล่าว่า เมื่อสายตาทอดมองไปเห็นรูปที่ถูกตาต้องใจ จะเหมือนมีแรงดึงดูดจิตใจเราให้ถลำออกไปแปะติดกับรูปที่มองเห็น ยิ่งถ้าเป็นรูปเพศตรงข้ามด้วยแล้วละก็ แรงดึงดูดจิตใจก็จะรุนแรงมากกว่าปกติ ถึงขนาดเอาแต่มองจนทำให้ลืมตัวเองไปเลยว่ากำลังเดินอยู่ ลืมตัวเองไปเลยว่ากำลังขับรถอยู่ บางครั้งแม้จะเดินเลยไปแล้วหรือขับรถเลยไปแล้ว ก็ไม่วายที่จะเหลียวกลับมามองอีกจนได้

          เคยสังเกตบ้างหรือเปล่าว่า กลิ่นกาแฟหอม ๆ โชยมา ทำให้ลืมตัวเองจนเหลียวมองหาที่มาของกลิ่น บางคนถึงกับต้องรีบเดินไปซื้อมาจิบกันเลยทีเดียว หรือถ้าเป็นผู้หญิงที่ชื่นชอบน้ำหอม หากได้กลิ่นน้ำหอมที่ตัวเองชอบ ก็จะลืมตัวเพลิดเพลินไปได้ง่ายๆ เหมือนกัน

          เคยสังเกตบ้างหรือเปล่าว่า ขณะนั่งกินอาหารจานโปรดที่มีรสชาติอร่อยถูกใจ ทำให้เราก้มหน้าก้มตากินได้อย่างเพลิดเพลินในรสชาติ จนแทบไม่รู้สึกเลยว่าตัวเองตักอาหารใส่ปากไปตอนไหน และแม้จะรู้สึกว่าตัวเองอิ่มพอดีแล้วก็ตาม แต่ด้วยความเพลิดเพลินในรสชาติ ก็ยังตักกินต่อไปได้อีกไม่น้อยเลย

          เคยสังเกตบ้างหรือเปล่าว่า เมื่อที่ได้รับสัมผัสอันอ่อนนุ่มทางกาย เราก็มักจะหลงลืมตัวเพลิดเพลินไปกับสัมผัสอันอ่อนนุ่มนั้น แต่ถ้าเกิดต้องไปเบียดเสียดผู้คนบนรถประจำทาง โดยเฉพาะในวันที่อากาศร้อนอบอ้าว เราก็มักจะหงุดหงิดรำคาญจนหลงลืมตัวไปเหมือนกัน

          ที่ดูเหมือนจะมีแรงดึงดูดให้จิตใจต้องลืมตัวหรือเผลอไปได้บ่อยที่สุด เห็นจะได้แก่ความนึกคิดและอารมณ์ทางใจนั่นเอง ไม่ว่าจะดีใจ โกรธ เสียใจ ฯลฯ ก็ล้วนแต่ทำให้เราลืมตัวเองหรือเผลอไปได้ทั้งนั้นเลย

          เคยสังเกตบ้างหรือเปล่าว่า ในแต่ละวันเดี๋ยวจิตก็มีโทสะ เดี๋ยวจิตก็มีราคะ เดี๋ยวจิตก็เป็นอย่างนั้น เดี๋ยวก็เป็นอย่างนี้ คนเราจึงได้หลงลืมตัวหรือเผลอไปกันตลอดเวลา

          แม้แต่แค่คิดจะศึกษาปฏิบัติธรรม ก็เผลอลืมตัวไปจนปฏิบัติออกนอกลู่นอกทางไปก็มี ทั้งนี้ก็เพราะในการปฏิบัติธรรมนั้น หากทำไปด้วยจิตที่ลืมตัว หรือทำไปโดยที่จิตขาดความรู้สึกตัวอยู่เนืองๆ
ก็ไม่ต่างอะไรกับการที่เราหลับหูหลับตาเดินกันนั่นเอง

          ต้องยอมรับด้วยนะว่า จิตที่ลืมตัวหรือเผลอไปนั้น ถือว่าเป็นจิตตามปกติธรรมชาติของคนทั่วไปทุกคน เว้นแต่จะได้ชื่อว่าเป็นพระอรหันต์ หรือเป็นผู้ที่พ้นทุกข์ได้แล้วเท่านั้น ที่จิตจะไม่ลืมตัวเผลอไปอีกเลย

          ด้วยลักษณะของจิตเองที่มีลักษณะ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และไม่ใช่ตัวตน เราจึงไม่อาจจะควบคุมหรือบังคับจิต ที่จะไม่ให้ลืมตัวไม่ให้เผลอไปได้ตลอดเวลา ที่เราสามารถทำได้ก็คือ หัดดูจิตที่ลืมตัว หรือเผลอไป หรือหัดรู้ว่า เมื่อกี้เผลอไป ซึ่งสามารถหัดได้ในขณะใช้ชีวิตประจำวันตามปกติ

          ด้วยการใช้ชีวิตตามปกติธรรมดา แล้วเราก็หัดรู้หัดดูไปแบบสบาย ๆ ไม่เพ่งจ้อง ไม่คอยที่จะดักดูจิตตัวเองว่าเดี๋ยวจะเป็นอย่างไรต่อไป เมื่อหัดรู้หัดดูได้ตามสมควรแล้ว เราก็จะค่อย ๆ รู้สึกได้ด้วยตัวเองว่า อ้าว...เมื่อกี้ลืมตัวไปแล้ว อ้าว...เมื่อกี้เผลอไปแล้ว

          การหัดรู้หัดดูจิตที่ลืมตัวหรือเผลอไปนี้ เราไม่ต้องคอยถามตัวเองเลยว่า เมื่อกี้ลืมตัวไปหรือเปล่า เมื่อกี้เผลอไปหรือเปล่า เพียงแค่ให้หัดรู้หัดดูจิตไปเรื่อย ๆ แล้วจะรู้ได้เองว่า เมื่อกี้ลืมตัวไป เมื่อกี้เผลอไป

          เมื่อหัดรู้หัดดูจิตที่ลืมตัวหรือเผลอไปกันได้บ้างแล้ว เราก็มักจะรู้สึกไม่ชอบจิตที่ลืมตัวหรือเผลอไปแล้วก็หลงไปหาวิธีทำเพื่อจะได้ไม่เผลอไม่ลืมตัว โดยไม่รู้เลยว่าการพยายามทำโน่นทำนี่ เพื่อไม่ให้ลืมตัวนั้นเป็นการหลงทางไปแล้ว ที่ว่าหลงทางไปแล้วก็เพราะหลงไปทำให้จิตเป็นไปตามที่เราอยากจะให้เป็น(อยากจะไม่เผลอไม่ลืมตัว) ซึ่งเท่ากับเราไปสวนทางกับหลักธรรมะที่ว่า ความอยากเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ แต่เรากลับไปทำตามความอยากแทนที่จะละความอยากนั้น แล้วเมื่อเราหลงทำอะไรไปตามความอยาก จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะพ้นทุกข์ด้วยการทำเหตุให้เกิดทุกข์เสียเอง จึงเปรียบเหมือนเรากำลังเอาน้ำมันราดใส่กองไฟ ด้วยคิดว่าราดน้ำมันลงไปแล้วไฟจะดับ แต่ยิ่งราดลงไปกองไฟก็ยิ่งลุกมากขึ้นนั่นเอง

สุรวัฒน์ เสรีวิวัฒนา