Recent Posts

มหากิริยาจิต


          มีสติรู้กายรู้ใจ เรียกว่าทำสติปัฏฐาน ถ้ามีสติรู้อย่างอื่นไม่เรียกว่าสติปัฏฐาน สติรู้กายรู้ใจเรียกสติปัฏฐาน

          พอรู้แจ้ง เรียกว่า รู้ทุกข์ พอรู้ทุกข์แจ้งก็ปล่อยวางตัวทุกข์ คือ ปล่อยวางขันธ์ ขันธ์ห้า คือ ตัวทุกข์ พอปล่อยวางขันธ์ห้าไป จิตไม่มีอะไรจะยึดฉวยนะ ไม่มีอะไรจะเกาะ จิตก็พ้นจากขันธ์ พ้นจากทุกข์นั่นเอง ไม่ใช่ดับทุกข์นะ ไม่ใช่ดับทุกข์

          พ้นทุกข์ ขันธ์ก็อยู่ส่วนขันธ์ไป จิตก็อยู่ส่วนจิต อิสระจากกัน แต่จิตก็เป็นขันธ์นะ มันมีธรรมชาติอีกชนิดหนึ่ง เป็นจิตอีกชนิดหนึ่งซึ่งไม่เกาะกับขันธ์ จิตชนิดนี้จึงไม่ได้รับความกระทบกระเทือนจากขันธ์ ทำหน้าที่รู้ขันธ์ไป ทำงานอยู่กับโลก รู้บัญญัติบ้าง รู้ขันธ์บ้าง ทำงานอยู่กับโลก แต่ไม่เกาะอะไรนะ เรียกกิริยา เป็นมหากิริยาจิต จิตดวงนี้ไม่เกาะไม่เกี่ยวกับอะไร สบาย มีความสุขอย่างนั้นแหละ จิตส่งออกนอกไหม ส่งออก ถ้าพูดในสำนวนของนักปฏิบัตินะ จิตพระอรหันต์ก็ยังส่งออกนอก คือ ออกรู้อารมณ์ทางตาหูจมูกลิ้นกายใจตามปกตินั่นเอง แต่ไม่กระเพื่อม ไม่หวั่นไหว ไม่ยินดี ไม่ยินร้ายอะไรขึ้นมา ไม่ใช่ว่าขันธ์ห้าจะเป็นสุข ขันธ์ห้าจะเที่ยง ขันธ์ห้าจะเป็นอัตตาเป็นไปไม่ได้ ที่เป็นพระอรหันต์ได้ก็เพราะเห็นว่า ขันธ์ห้าไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตาแล้ววางได้

          ที่วางไม่ได้ก็เพราะไม่เห็นว่ามันเป็นทุกข์ วางไม่ได้เพราะเห็นว่ามันทุกข์บ้างสุขบ้าง รู้สึกมั้ยร่างกายเป็นทุกข์บ้างเป็นสุขบ้าง มันรู้สึกอย่างนี้ไงถึงวางกายไม่ได้ ถ้ารู้สึกว่าร่างกายเป็นทุกข์บ้างเป็นสุขบ้าง มันก็ดิ้นหาความสุข ดิ้นหนีความทุกข์ ถ้ารู้สึกว่าจิตนี้เป็นทุกข์บ้างเป็นสุขบ้าง จิตก็ยังดิ้นหาความสุข ดิ้นหนึความทุกข์อยู่

          แต่เมื่อไรเห็นว่าทุกข์ล้วนๆ นะ มีแต่ทุกข์มากกับทุกข์น้อย นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรเกิดขึ้น นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรตั้งอยู่ นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรดับไป จิตจะวาง วางเองไม่ต้องเชิญให้วาง วางเอง

          เพราะฉะนั้นไม่ต้องถามว่าทำยังไงจะหลุดพ้น ไม่มีใครทำจิตให้หลุดพ้นได้ จิตเขาหลุดของเขาเองอย่าว่าแต่ทำจิตให้หลุดพ้นเลย แค่ทำจิตให้เกิดสติสักขณะหนึ่งยังทำไม่ได้เลย สติเกิดเองเพราะมีเหตุจิตหลุดพ้นเพราะอะไร เพราะมีปัญญาแจ่มแจ้ง รู้ความจริงของกายของใจแจ่มแจ้งว่าเป็นไตรลักษณ์ แล้ววาง วางเอง

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช


******************************
ขยายความ

กริยาจิต  

          หมายถึง อาการการกระทำทางจิต ดังเช่น การไปจดจ่อ ไปจับจ้อง ไปพัวพัน การไปเพ่งหรือโฟกัสนิ่งในเวทนา(เช่น ทุกขเวทนา ทั้งต่อใจและกาย) หรือจิตแช่นิ่ง(อยู่ในจิต เช่น จิตหดหู่, จิตโทสะ)ที่เกิดขึ้นเหล่านั้น  กล่าวคือ กริยาจิตที่ไม่ปล่อยวาง หรือกริยาจิตที่ไปยึดเอาไว้นั่นเอง ด้วยการไปยึดเวทนาหรือจิตตสังขารเหล่านั้นไว้เป็นอารมณ์ คือเป็นที่กำหนดหรือที่ยึดเหนี่ยวของจิตโดยไม่รู้ตัว หรือการวิตก วิจารนั่นเอง

          การอุเบกขา เป็นกลางด้วยการไม่แทรกแซงด้วยถ้อยคิดปรุงแต่ง และ กริยาจิต ที่หมายถึงจิตที่มีสติ คือโฟกัสอยู่ที่สติ ไม่ใช่อยู่ที่เวทนาหรือจิตหดหู่,จิตคิดปรุงแต่งฯ.  และพึงควรทำความเข้าใจให้ถูกต้องด้วยว่า หมายถึงการปฏิบัติในชีวิตประจำวันหรือกระทำเป็นประจำสมํ่าเสมอ  อันพึงยกเว้นในขณะวิปัสสนาหรือโยนิโสมนสิการ,  และอาการจดจ่อ จับจ้อง หรือจิตส่งในอย่างนี้  มีมากโดยเฉพาะในผู้ที่ฝึกแต่สมถสมาธิมานานไม่วิปัสสนา เพราะเกิดความเคยชินตามที่ฝึกสั่งสมไว้จนเป็นสังขารโดยไม่รู้ตัว ต่อการให้จิตแน่วแน่ต่ออารมณ์ใดอารมณ์หนึ่ง(สิ่งใดสิ่งหนึ่ง) จึงมักหลงไปจับหรือยึดทุกข์อยู่เสมอๆและนานๆ ไม่ปล่อยวาง โดยไม่รู้ตัว

ที่มา : nkgen.com